วันอังคารที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ปรัชญาดีๆในการใช้ชีวิต




วันวานคืออดีตที่เราพึงจดจำ  พรุ่งนี้คืออนาคตที่เราเฝ้ารอ  และวันนี้คือปัจจุบันที่เราจะทำให้ดีที่สุด

คนที่ไม่เคยผิดพลาดก็คือคนที่ไม่เคยทำอะไรเลย

การทำงานย่อมมีผู้นำและผู้ตามแล้วแต่ว่าเราจะทำหน้าที่ของตนได้ดีขนาดไหน

สี่เท้ายังรู้พลาดนักปราชญ์ยังรู้พลั้ง

ในวันที่เลวร้ายของคนๆหนึ่งอาจเป็นวันที่อีกคนประสบความสำเร็จในชีวิต

สิ่งที่มีค่าของคนเรานั้นต่างกันไปตามความชอบของคน

เวลาที่มีค่าคือทุกๆนาทีของชีวิตไม่ใช่เวลาที่ใกล้จะหมดเท่านั้น

สายน้ำและกาลเวลาไม่เคยหยุดให้ใครมีแต่เราที่ต้องไหลไปตามมันไป

เพลงที่ไพเราะที่สุดไม่ใช่เพลงวันเกิด หรือ เพลงเกาหลี แต่เป็นเพลงกล่อมที่พ่อแม่ร้องให้กับเรา

สองมือที่เข้มแข็งที่สุดคือสัมผัสที่อ่อนโยนสำหรับลูกเสมอ

วันอังคารที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

วิถีชีวิตไทยภายใต้ความเชื่อเเบบไทยๆ

ความเชื่อคือความคิด ความเข้าใจ สำนึกที่ถูกปลูกฝังภายใต้คำสอนของคนโบราณ เพื่อหวังผลทางตรงและทางอ้อมทางใดทางหนึ่งแก่ผู้ปฏิบัติ ในปัจจุบันจะเห็นว่าสังคมไทยนั้นก้าวกระโดดจากยุคหนึ่งสู่อีกยุคหนึ่ง แต่ไม่ว่ากาลเวลาจะเปลี่ยนเเปลงไปมากน้อยเพียงใดความเชื่อของคนโบราณที่ปลูกฝังจากรุ่นสู่รุ่นยังคงฝังรากลึกในสังคมไทย ต่อไปจะเป็นการยกตัวอย่างความเชื่อของคนไทยที่น่าสนใจมาให้ได้ดูกัน

1. จะไม่ตัดผมในวัน พุธเพราะเชื่อว่าวันพุธนั้นเป็นวันที่เจ้านายเชื้อพระวงศ์จะตัดผม บุคคลธรรมดาจึงไม่ควรตัดในวันนั้น

2.ไม่ควรนอนทับตะวันหรือการนอนในช่วงก่อนพระอาทิตย์ตกจนถึงพระอาทิตย์ตก เพราะเชื่อว่าจะทำให้เกิดการไม่สบายหรืออาจถึงขั้นหลับไม่ตื่นอีกเลย

3.ไม่เคาะจานชามช้อนหรืออุปกรณ์รับประทานอาหาร ระหว่างที่นั่งบนโต๊ะอาหาร เชื่อว่าจะเป็นการเชิญสัมภเวสี รวมถึงผีเร่รอนมาขอร่วมรับประทานอาหารด้วย

4.ไม่เก็บของที่ตกขึ้นมากิน เพราะเชื่อว่าการกินของที่ตกไปแล้วนั้นก็เหมือนการที่เราไปเเย่งของหรือส่วนบุญที่เปรตได้รับแล้วมากิน

5.ไม่ทักเสียงหรือสิ่งเเปลกเมื่ออยู่ในป่า หรือสถานที่ไม่คุ้นเคย เพราะเชื่อว่าในสถานที่ต่างๆนั้นล้วนมีเจ้าที่เจ้าทาง ผีประจำถิ่นต่างๆอยู่การที่เราเเสดงอาการหรือมีปฏิกริยาก็เหมือนเปิดช่องทางให้เขาเข้าหาเราได้

6.ไม่รินน้ำหงายมือ เพราะเชื่อว่าการรินน้ำหงายมือนั้นเหมือนการกรวดน้ำให้แก่คนตาย การรินน้ำให้คนเป็นกินด้วยการหงายมือจึงเป็นเรื่องไม่เหมาะสม

7.ไม่เหยียบธรณีประตูวัดหรือบ้าน เพราะเชื่อว่าเจ้าที่เจ้าทาง ผีบ้านผีเรือนนั้นจะสิ่งสถิตในทางเข้าบ้านหรือ ก็คือธรณีประตูนั้นเอง

ความเชื่อเหล่านี้คือความเชื่อของคนไทยยังมีความเชื่ออีกมากมายที่คนโบราณปลูกฝังให้แก่ลูกหลานทุกความเชื้อล้วนเเฝงไว้ด้วยความหวังดีต่างๆไว้แล้วแต่ว่าคนรุ่นหลังจะมองเห็นหรือไม่

วันอาทิตย์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2554

ศัพท์น่ารู้ในวงการนิยาย

ในวงการนิยายนั้นจะมีการใช้คำศัพท์บางคำที่สร้างความไม่กระจ่างแก่ผู้พบเห็น อาจด้วยความตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ แต่การใช้คำศัพท์เหล่านี้สร้างความปวดหัวแก่ผ็พบเห็นไม่น้อยวันนี้ผมเลยรวบรวมศัพท์พวกนี้ผ่านประสบการณ์ที่ผ่านมา ให้ได้ชมกัน

Y
Yย่อมาจาก yaoi และ yuri แต่ในปัจจุบันนั้นจะสื่อถึงนิยาย yaoi เพียงอย่างเดียว

Yaoi
หรือนิยาย ชายรักชาย Boys love เป็นนิยายที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับความรักของผู้ชายสองคน ออกแนวน่ารักๆอาจจะมี เรทในระดับที่ต่างกัน อย่างไรก็ตามนิยายประเภทนี้จะมีการเขียนเตือนในหัวเรื่องแล้วสำหรับคนที่ต่อต้าน แต่ก็ยังมีการใช้ถ้อยคำรุนแรงในการวิพากษ์วิจารณ์อยู่

Yuri
นิยาย แนวหญิงรักหญิง มีเนื้อหาเป็นเรื่องราวความรักของสาวสองคนที่เป็นความรักโดยเนื้อแท้ไม่ได้คำนึงถึงรูปแบบสังคม
ส่วนใหญ่ เรทความแรงยังไม่พบเห็นโดยทั่วไป

NC
ย่อจาก No children ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่า ห้ามเด็กเข้าอ่านจะเป็นนิยายที่มีเนื้อหาในเรื่องเพศ มีการแบ่งเรท ไว้หลายระดับ โดยใช้เกณฑ์อายุ เช่น NC18 NC21 อย่างไรก็ตามนิยายประเภทนี้ก็ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย ซึ่งไม่ได้หมายความว่ามีความหมกมุ่นหรือเป็นเรื่องไม่ดี เพราะว่าการอ่านหนังสือนั้นไม่ว่าจะเป็นหนังสือนิยาย หรือจะเป็นหนังสือความรู้สิ่งที่ขาดไม่ได้คือวิจารณญาณในการอ่าน ในนิยายทุกเรื่องที่มีฉาก NC จะมีการแจ้งเตือนไว้แล้ว จึงควรอ่านก่อนเข้าไปอ่าน

H
เป็นตัวย่อของ Hentai ซึ่งเเปลจากภาษาญี่ปุ่นคือ ซึ่งเเปลกๆ หรือเรื่องราวเเปลกเเต่อย่างไรก็ดีภายใต้สังคมอินเทอร์เน็ตกลับ เเปลว่านิยายประเภทลามกหรือไม่เหมาะสม แต่ส่วนใหญ่แล้ว คำว่า Hentai นั้นจะถูกใช้ในวงการการ์ตูนมากกว่า

อย่างที่อ่านมานั้นว่าการอ่านนิยายนั้นขึ้นอยู่กับเจตนาและความคิดของคนแต่ละคนหากว่าเรามีแนวความคิดที่ไม่ดีถึงอ่านหนังสือพระธรรมก็สามารถคิดในแง่ลบได้ การอ่านนิยาย Y หรือ NC ก็ถือเป็นสิทธิที่พึงมีของคนแต่ละคนหากว่ามีความไม่พอใจในนิยายประเภทใดก็ควรเพียงปิดมันหรือเปิดผ่าน ไม่ใช้ถ้อยคำหยาบคายที่แสดงถึงระดับความคิดของตนในการด่าทอผู้อื่น

แนวทางการเเต่งนิยาย

การแต่งนิยายที่ดีนั้นมีหลักการที่ค่อนข้างง่ายแต่การปฏิบัติจริงนั้นค่อนข้างยาก
ผมมีแนวทางดีๆมานำเสนอนะคับหวังว่าจะช่วยได้บ้างในการลองแต่งนิยายสักเรื่องหนึ่ง
1.       เราต้องวางแนวทางที่เราต้องการเขียนไม่ว่าจะเป็นแนวทางของเรื่อง เค้าโครงของเรื่องหรือว่าจะเป็นว่านิยายที่เราจะแต่งนั้นเราจะให้มีแนวทางหรือตอนจบอย่างไรสิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ต้องคิดและวางแผนก่อนที่เราจะลงมือเขียนนิยายขึ้นมาสักเรื่องหนึ่งแต่อย่างไรก็ดีเราก็ไม่ควรนำเค้าโครงของเรื่องหรือแนวทางที่เราวางไว้มาเป็นกรอบในการจำกัดเราเพียงแต่ ให้นำกรอบเหล่านี้มาเป็นแนวทางไม่ให้นิยายของเราหลงออกทะเลไป
2.       เขียนแผนผัง หลายคนอาจจะมีวิธีการที่ต่างกันแต่อย่างน้อยก่อนที่เราจะเริ่มเขาสู่เนื้อหาเราก็ควรมีบรรณานุกรมความคิดของเราเอง อาจเป็นการประมวลความคิดของเรา ไม่แน่ว่าระหว่างที่เรานั่งรถเมล์ หรือเดิน ช้อปปิ้งเราอาจมีไอเดียดีๆออกมา ฉะนั้นสิ่งที่เราจะขาดไม่ได้คือสมุดจดเล็กในกระเป๋าของเราที่จะสามารถนำออกมาจดความคิดหรือสิ่งที่มันพรั่งพรูออกมา เชื่อเถอะครับว่าหลายครั้งที่เรานึกอะไรดีๆออกมาได้และคิดว่าเดี๋ยวกลับไปแล้วค่อยจัดการกับมัน แต่พอเราไปถึงที่หมาย ความคิดนั้นมันก็เหมือนจะบินหนีไปเสียแล้ว หลังจากที่เราจดแล้วความคิดที่ได้มานั้นจะดูไร้ระเบียบแบบแผน เหมือนตัวจิ๊กซอว์ที่เรามีเพียงส่วนเดียวการวางแผนผังนั้นก็เหมือนกับการจัดกรอบให้จิ๊กซอว์นี้โดยการรวบรวม ชิ้นส่วนต่างๆเข้าด้วยกันเพื่อรอวันประกอบเข้าด้วยกัน
3.       การวางตัวละครและการคิดชื่อต่างๆ นี่คือปัญหาที่ผมพบบ่อยที่สุดและปวดหัวที่สุด เพราะไม่รู้ว่าเราจะเอาชื่อไทย จีน ญี่ปุ่น ฝรั่ง ฯลฯ  จุดนี้เหมือนกับว่าเราจะงมเข็มในมหาสมุทร ไม่ว่าเราจะมีวิธีส่วนตัวใดล้วนถูกงัดออกมาใช้กันหมด เคยมีนักเขียนชื่อดังท่านหนึ่งให้แนวทางน่ารักๆ มาว่า เราก็เปิดแอตลาส ขึ้นมาแล้วก็ไล่กันเลยชื่อเมือง ชื่อแม่น้ำชื่อไหนมันเพราะๆ น่าฟังก็เอามาสักชื่อ ในส่วนการเลือกชื่อนี้จึงแล้วแต่วิธีการส่วนบุคคลนะครับใครมีคำแนะนำยังไงก็ช่วยบอกด้วยเพราะหลายครั้งที่ผมปวดหัวกับการหาชื่อดีมาใช้ไม่ได้จริงๆ
4.       เมื่อเรามีแนวทาง แผนผัง ตัวละคร ครบหมดแล้วหลายท่านก็คิดว่าคงได้เวลาลงมือจริงกันแล้ว จริงๆก็ลงมือเลยก็ได้นะครับ หรือเราจะเอาให้มันแน่นเข้าไปอีกเราก็วาดภาพๆนึงขึ้นมาครับเป็นภาพที่เราทำเหมือน mine map ว่า ช่วงเวลาต่างที่เราจะเขียนนั้นอะไรเกิดก่อนเกิดหลังหรือว่าส่วนไหนจะเป็นส่วนเสริมโครงเรื่องหลักในช่วงใดทั้งหมดนี้เราควรวางแผนไว้นะครับเพราะว่าการที่เราเขียนไปวางแนวทางไปบางครั้งพอรีบๆ หรือเกิด เหตุการณ์ที่มันไม่คาดคิดขึ้นอย่างน้อยการที่เราเอาสิ่งต่างๆที่เราทำมาเปิดดูก็จะให้เราสามารถหาวิธีการแก้ไขได้นะครับ
บทความนี้ก็เป็นแนวทางที่ผมได้เจอและลองรวบรวมมาเขียนให้ได้ดูกันนะครับไม่ได้เป็นข้อบังคับแต่อย่างใดคิดว่าเป็นข้อแนะนำ สำหรับผู้ที่มีความคิดอยากจะสรรสร้างเรื่องราวดีๆแต่ยังไม่รู้จะเริ่มตรงไหน ถ้ามีข้อคิดเห็นหรือความคิดอย่างไรก็สามารถมาแชร์กันได้นะครับ