วันอาทิตย์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2555

Media 21st เรื่องเก่าที่ เล่าได้ไม่รู้จบ


Media 21st  เรื่องเก่าที่ เล่าได้ไม่รู้จบ

       

              ท่านผู้อ่านที่รักยิ่งของผู้เขียนที่น่ารัก เรากลับมาพบกันอีกแล้วนะครับ(ไม่รู้ผู้อ่านดีใจไหม แต่ผู้เขียนดีใจนะ อิอิ) วันนี้เรากลับมาพบกับ เรื่องที่ไม่รู้ว่าจะดูหนักไปไหม นั้นคือ เรื่องของสื่อในศตวรรษที่ 21 หรือ 21st สื่อในปัจจุบันไม่ใช่เเค่ตัวกลางสำหรับการสื่อสารระหว่างบุคคล แต่เป็นตัวกลางเพื่อบอกเล่าเรื่องราว ความคิด อารมณ์ ของผู้ส่งให้แก่ผู้รับได้เข้าใจหรือเกิดความคิดร่วมได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น 

เรามาดูความหมายที่มีคนให้ไว้เกี่ยวกับสื่อดีกว่านะครับ

Mediaหรือสื่อ คือ เครื่องมือที่เป็นตัวกลางในการถ่ายทอดข้อมูลจากผู้ส่งไปยังผู้รับ เพื่อให้ผู้ส่งและผู้รับสามารถสื่อสารกันได้ตรงตามวัตถุประสงค์

  


ซึ่งสื่อนั้นมีมากมายหลากหลายประเภท ทั้งสื่อสิ่งพิมพ์ สื่อโทรทัศน์ สื่อเพื่อความบันเทิง สื่อเพื่อความรู้ แต่ที่เราจะหยิบยกขึ้นมาพูดถึงในวันนี้นะครับ คือ สื่อการสอน ชื่อที่ทุกคนคุ้นหูและเหมือนจะรู้จักแต่ที่จริงแล้วเจ้าสื่อการสอนที่ว่านี้จะเป็นอย่างที่ทุกคนรู้จักหรือไม่ ยิ่งในศตวรรษนี้ที่สื่อได้ทำการก้าวกระโดดครั้งสำคัญ การเปลี่ยนแปลงวิสัยทัศน์เดิมๆของสื่อสู่ ยุค 21st  อย่างแท้จริง ซึ่งในส่วนของสื่อการสอนนั้นที่เคยมีกรอบความคิดที่ว่า สื่อการสอน คือ เครื่องมือที่ผู้สอนใช้ประกอบการสอนเพื่อให้ผู้เรียนสามารถเข้าใจเนื้อหาได้มากขึ้น 

ไปสู่ความคิดที่ว่า สื่อการสอนคือตัวกลางเพื่อสร้างความเข้าใจร่วมกันระหว่างผู้เรียนและผู้สอน



  คำสองคำนี้บางคนอ่านแล้วก็จะเห็นว่ามันก็แค่การเล่นคำของผู้เขียนหรือนักการศึกษา แต่ใจความของข้อความที่ยกมานี้ ในข้อความแรก คือสื่อนั้นเป็นเครื่องมือของผู้สอนที่จะใช้เพื่อประกอบการสอน ซึ่งผู้เรียนนั้นเป็นแต่เพียงผู้รับสารและไม่มีการส่งกลับสารนั้นสู่ผู้สอน เปรียบเสมือนกับการดูรายการโทรทัศน์แล้วเรามีข้อติชมมากมายแต่ผู้จัดรายการไม่ได้ให้ช่องทางในการเสนอคำติชมกลับไปเราก็ทำได้เพียงคิดและเก็บคำติชมนั้นกลับไป

ในความคิดที่สองนั้นหรือในยุคปัจจุบัน สื่อคือตัวกลางที่เชื่อมความคิดของผู้เรียนและผู้สอนเข้าได้กัน ซึ่งการจะเชื่อมความคิดของคนสองกลุ่มที่ติดต่อกันทุกวันเข้าด้วยกันนั้น จะว่าเป็นเรื่องยากก็ยากจะว่าเป็นเรื่องง่ายก็ง่าย แนวคิดนั้นเป็นเรื่องที่สามารถทำได้แต่การปฏิบัติจริงนั้นยังต้องรอการพิสูจน์ เพราะตัวกลางความคิดระหว่างผู้เรียนและผู้สอนนั้น มีองค์ประกอบมากมายที่ต้องคำนึงถึงซึ่งนักเทคโนโลยีสื่อสารการศึกษาได้สร้างสื่อมากมายเพื่อตอบโจทย์นี้ แต่ทว่าสื่อมากมายนั้นยังไม่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานทั้งในส่วนของผู้สอนและผู้เรียน อาทิเช่น การใช้ E-mail ในการติดต่อสื่อกันระหว่างผู้สอนและผู้เรียน ข้อดีของการใช้สื่อกลางนี้คือ รวดเร็ว ไม่มีข้อจำกัดด้านสถานที่และเวลา ข้อเสียคือ ความเหมาะสมของเอกสารหรือชิ้นงานบางอย่างก็มีทัศนคติที่ไม่รู้ว่ามาจากผู้สอนหรือผู้เรียนเองว่าเอกสารบางชนิดนั้นต้อง(ใช้คำว่าต้องนะครับซึ่งร้ายแรงกว่าไม่ควรอีกหนึ่งขั้น)ทำการส่งด้วยมือของตนหรือFace to face กับผู้สอนอาทิ ใบลากิจ ใบลาป่วย ซึ่งถ้าเราลองคิดหรือจินตนาการดูนะครับว่าถ้าการส่งไปลาต่างๆนี้ทำกันผ่าน E-mailแล้วมันจะวุ่นวายขนาดไหน  




            แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น E-mailหรือสื่อใดๆ ก็ถือว่ายังไม่สามารถตอบโจทย์ทั้งหมดของสื่อการสอนในยุค 21st ได้เพราะสิ่งสำคัญคือการเข้าถึงสื่อ หนึ่งในความคิดที่ผู้เขียนคิดว่าไม่เหมาะสมและสมควรปรับแก้ในทุกๆสถาบันการศึกษาคือ การเข้าใจว่าผู้เรียนหรือบุคลากรทางการศึกษาทุกคนนั้นมีเครื่องมือและความรู้ในการใช้สื่อเพื่อตอบสนองการเรียนที่เท่าเทียมกัน ผู้เรียน บางคน อาจมี คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ(PC) โน๊ตบุ๊ค ไอโฟน ไอแพด แต่บางคนอาจมีเพียงหนังสือ และกระดาษรายงานที่พร้อมจะจรดปากกาเพื่อถ่ายทอดข้อความ ซึ่งงานที่ออกมานั้นไม่ต่างจากงานที่ทำผ่านโปรแกรมคอมพิวเตอร์เลยแม้แต่น้อย แต่การที่ผู้สอนทุกคนต่างมุ่งหวังจากผู้เรียนว่าผู้เรียนจะต้องสามารถที่จะตอบสนองต่อสื่อที่ผู้สอนคิดว่าเหมาะสมหรือเท่าทันกับยุคโลกาภิวัฒน์ นั้นจึงเป็นความคิดที่ผู้เขียนคิดว่าผู้สอนกำลังใช้สื่อการสอนในทางที่ผิดหรือขัดต่อจุดมุ่งหมายดั้งเดิมของสื่อการสอน จำเป็นด้วยหรือที่สิ่งใหม่จำเป็นต้องดีกว่าสิ่งเก่าเสมอไป จำเป็นด้วยหรือที่สิ่งของที่ถูกพัฒนาจะต้องดีกว่าสิ่งของเดิมที่ถูกมองว่าล้าหลัง ผู้เขียนเคยอ่านหนังสือเล่มหนึ่งที่ได้ให้วิธีการแก้ปัญหาทุกปัญหาด้วยหลักการเดียวกันคือ จงแก้ปัญหาด้วยวิธีการที่ง่ายที่สุดเสมอ ในความคิดผู้เขียนคิดว่าบางทีสื่อการสอนที่นักเทคโนโลยีทางการศึกษาและผู้สอนต้องการจริงๆอาจเป็นเพียงกระดาษที่พร้อมจะเขียนและถ่ายทอดความรู้กับผู้เรียนเพียงเท่านี้ก็เป็นได้

เหมือนผู้เขียนจะพาออกนอกเรื่องไปเยอะ เอาเป็นว่าข้างบนออกจะเป็นแนวคิดของผู้เขียนสักเล็กน้อย(>o<) อย่างไรก็ตามวันนี้ผู้เขียนก็ขอนำสื่อชนิดหนึ่งมานำเสนอและวิเคราะห์ถึง วิธีใช้ ข้อดี ข้อเสีย เพื่อให้ผู้อ่าน อ่านกันก่อนที่จะหาว่า บทความนี้ออกแนวไร้สาระจนเกินไป สื่อที่ผู้ เขียนนำมาเสนอในวันนี้เชื่อว่าทุกคน คงจะรู้จักกันเป็นอย่างดี และติดตามการเจริญเติบโตของเขาผ่านหนังและภาพยนต์มาไม่น้อย สื่อที่จะนำมาเสนอนั้นก็คือ สื่อ Animation




Animation คือ การสร้างภาพเคลื่อนไหว โดยการนำภาพนิ่งหลายๆภาพที่มีความต่อเนื่อง  มาฉายด้วยความเร็วที่เหมาะสม ทำให้เกิดภาพลวงตาของการเคลื่อนไหว

การ Animate หรือถ้าแปลกันอย่างตรงตัว ก็คือการสร้างความเคลื่อนไหว ให้ชีวิต กับสิ่งต่างๆ ที่ยังไม่มีการเคลื่อนไหว หรือที่เรามักเรียกกันว่า ภาพStillหรือภาพนิ่ง  เหล่า Animatorหรือผู้สร้างสรรค์งานอนิเมชั่น ก็เปรียบกับผู้ให้ชีวิตกับชิ้นงานหรือภาพนิ่งนั้นเอง





แล้วเรารู้ไหมครับว่าทำไมภาพที่ตอนแรกยังอยู่นิ่งๆ แต่เหล่าAnimator เขามีวิธีอย่างไรให้ภาพเหล่านั้นออกมาขยับแข้งขยับขาให้เราชมได้   

เพราะที่เราเห็นภาพเคลื่อนไหวนั้น เป็นเพราะว่า มนุษย์เรามีการจำการรู้สึกสัมผัส (Sensory Memory) การจำชนิดนี้เป็นการเก็บข้อมูลอย่างตรงไปตรงมาตามที่ประสาทสัมผัสรับรู้จาก สิ่งเร้าและจะเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว เช่น การดูภาพยนตร์ซึ่งภาพแต่ละภาพจะยังคงติดตาอยู่เพียง 1 ต่อ 10 วินาทีเท่านั้น  ปรากฏการณ์นี้เรียกว่า Persistence of Vision หรือเรียกว่า การจำภาพติดตา (Iconic Memory)

   



   แล้วเรานำAnimation มาเกี่ยวข้องกับสื่อการสอนอย่างไร

อย่างที่เราได้ทราบว่า Animation คือการสร้างภาพเคลื่อนไหวเพื่อก่อให้เกิดจินตนาการ ของผู้รับสาร หรือในที่นี้ก็คือผู้เรียน โดยเราต้องกล่าวถึง ประสบการณ์การเรียนรู้ที่จะได้รับจากสื่อนั้น แบ่งออกเป็นสื่อโดยตรงและสื่อโดยอ้อม สื่อโดยตรงคือการสัมผัส กับสิ่งของ หรือสิ่งที่ต้องการสื่อถึงผู้เรียน แต่บางครั้งสิ่งของหรือเหตุการณ์บางอย่างไม่สามารถนำมาเพื่อให้ผู้เรียนได้สัมผัส และรับรู้ได้จึงก่อให้เกิดสื่อโดยอ้อมขึ้นมา ซึ่ง Animation ก็คือสื่อโดยอ้อมรูปแบบหนึ่งที่มีสามารถสร้างแรงจูงใจให้ผู้เรียนเกิดความสนใจและเข้าใจในสิ่งที่ผู้สอนต้องการบอกเล่าผ่านสื่อได้ อาทิ เช่น หากเราต้องการสอนในเรื่องของการเพาะปลูกพืช แต่โรงเรียนของเราไม่มีสถานที่เอื้ออำนวยในการลงแปลงเกษตรของจริง ครั้นจะใช้ภาพจากสไลด์สอน ผู้เรียนก็จะเกิดความเบื่อหน่าย ผู้สอนก็อาจนำเกมส์หรือสื่อAnimationในเรื่องของการเพาะปลูกมาช่วยสอนได้



 โดยสื่อAnimation นั้นจะมีข้อดีคือ

·        สามารถสร้างแรงจูงใจให้กับผู้เรียนให้หันมาสนใจการสิ่งที่ผู้สอนต้องการสื่อได้

·        สร้างประสบการณ์การเรียนรู้ที่ใกล้เคียงกับการเรียนรู้ทางตรง มากกว่าสื่อการเรียนรู้ทางอ้อมชนิดอื่นๆ

·        สามารถพลิกแพลงการใช้งานกับผู้เรียนได้หลากหลายประเภท

·        ไม่สร้างความรู้สึกซ้ำซากจำเจให้กับผู้เรียน




  ข้อเสียของสื่อ Animation คือ

·        ผู้สอนต้องมีความรู้ในการใช้สื่อหรือสร้างสื่อที่ลึกกว่าการใช้สื่อชนิดอื่นๆ

·        สื่อ Animation จะต้องใช้อุปกรณ์และเครื่องมือที่ยุ่งยาก

·        ผู้สอนไม่สามารถหรือไม่ควรปล่อยให้ผู้เรียน เรียนรู้จากสื่อโดยไม่ให้คำปรึกษา เพราะการที่ปล่อยปละโดยเห็นว่าสื่อนั้นสามารถสอนผู้เรียนแทนตนได้เป็นความคิดที่ผิด แม้ว่าสื่อจะสามารถขยับและถ่ายทอดประสบการณ์ออกมาได้ แต่สื่อก็ยังเป็นเพียงวัตถุถ่ายทอด ที่ไม่สามารถตอบคำถามหรือเข้าใจความนึดคิดของคนได้ ฉะนั้นความคิดที่ว่าสื่อจะมาแทนผู้สอนหรือสามารถสอนแทนผู้สอนได้นั้นเป็นความคิดที่ผิด ไม่ว่าจะเป็นสื่อที่มีความสามารถเพียงใด สื่อก็ยังคงเป็นเพียงเครื่องมือที่ช่วยให้การสอนดียิ่งขึ้นไม่ใช่ เครื่องมือที่ทำให้การสอนง่ายขึ้น

·        สื่อต้องมีการดูแลรักษาและความรู้ในการใช้งานที่เหมาะสม



เมื่อมีข้อเสียแล้วก็ขอแถมวิธีการแก้ปัญหาที่เป็นวิธีการสำคัญที่เรียกว่าหัวใจของการใช้สื่อการสอน นั้นก็คือการเอาใจใส่และความเข้าใจในตัวสื่อและผู้เรียน บางครั้ง เราสามารถใช้สื่อมากกว่าหนึ่งประเภทเพื่อตอบสนองหรือตอบโจทย์ที่เราได้รับมาขึ้นอยู่กับว่า เราเข้าใจถึงประโยชน์ของสื่อและศักยภาพของผู้ใช้สื่อมากน้อยเพียงใด หากผู้อ่านคำนึงถึงสองสิ่งนี้แล้วนำไปประยุกต์ใช้ได้ ผู้เขียนก็คิดว่าท่านคือผู้มีศักยภาพในการถ่ายทอดความรู้ให้กับคนรุ่นต่อไปได้อย่างแน่นอน






          เป็นอย่างไรมั้งครับหลังจากอ่านเรื่องราวของสื่อการสอนที่ผู้เขียนนำมาเสนอในวันนี้ ดูเหมือนจะเป็นเนื้อหาที่หนักจนเกินไปรึป่าวก็ไม่รู้ แถมยังมีความคิดของผู้เขียนแทรกมาเป็นระยะๆด้วย ก็หวังว่าบทความนี้จะสร้างความคิดหรือแนวทางให้ท่านผู้อ่านที่หลงผิดเข้ามาได้ไม่มากก็น้อยนะครับ วันนี้ก็ต้องขอลาไปก่อนนะครับ คราวหน้าผู้เขียนก็จะนำเรื่องราวไร้สาระมาฝากอีกเช่นเคย อย่าลืมกินข้าวอิ่มๆ แล้วก็รักพ่อแม่มากๆนะครับบบ


 ขอขอบคุณเนื้อหาและภาพจาก

 http://www.gotoknow.org/blogs/posts/303101?

http://www.kookkaicartoon.com/Welcome%20to%20Home%20KookKai-Car-Toon.html 

http://www.kroobannok.com/blog/41806


กิดานัน มลิทอง . (2548) เทคโนโลยีเเละสื่อสารการศึกษา. กรุงเทพ :  อรุณการพิมพ์,  หน้า 99-132