Media 21st เรื่องเก่าที่ เล่าได้ไม่รู้จบ
ท่านผู้อ่านที่รักยิ่งของผู้เขียนที่น่ารัก
เรากลับมาพบกันอีกแล้วนะครับ(ไม่รู้ผู้อ่านดีใจไหม แต่ผู้เขียนดีใจนะ อิอิ) วันนี้เรากลับมาพบกับ
เรื่องที่ไม่รู้ว่าจะดูหนักไปไหม
นั้นคือ เรื่องของสื่อในศตวรรษที่ 21 หรือ 21st
สื่อในปัจจุบันไม่ใช่เเค่ตัวกลางสำหรับการสื่อสารระหว่างบุคคล แต่เป็นตัวกลางเพื่อบอกเล่าเรื่องราว
ความคิด อารมณ์ ของผู้ส่งให้แก่ผู้รับได้เข้าใจหรือเกิดความคิดร่วมได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น
เรามาดูความหมายที่มีคนให้ไว้เกี่ยวกับสื่อดีกว่านะครับ
Mediaหรือสื่อ คือ เครื่องมือที่เป็นตัวกลางในการถ่ายทอดข้อมูลจากผู้ส่งไปยังผู้รับ
เพื่อให้ผู้ส่งและผู้รับสามารถสื่อสารกันได้ตรงตามวัตถุประสงค์

ซึ่งสื่อนั้นมีมากมายหลากหลายประเภท
ทั้งสื่อสิ่งพิมพ์ สื่อโทรทัศน์ สื่อเพื่อความบันเทิง สื่อเพื่อความรู้
แต่ที่เราจะหยิบยกขึ้นมาพูดถึงในวันนี้นะครับ คือ สื่อการสอน ชื่อที่ทุกคนคุ้นหูและเหมือนจะรู้จักแต่ที่จริงแล้วเจ้าสื่อการสอนที่ว่านี้จะเป็นอย่างที่ทุกคนรู้จักหรือไม่
ยิ่งในศตวรรษนี้ที่สื่อได้ทำการก้าวกระโดดครั้งสำคัญ การเปลี่ยนแปลงวิสัยทัศน์เดิมๆของสื่อสู่
ยุค 21st อย่างแท้จริง
ซึ่งในส่วนของสื่อการสอนนั้นที่เคยมีกรอบความคิดที่ว่า สื่อการสอน
คือ เครื่องมือที่ผู้สอนใช้ประกอบการสอนเพื่อให้ผู้เรียนสามารถเข้าใจเนื้อหาได้มากขึ้น
ไปสู่ความคิดที่ว่า สื่อการสอนคือตัวกลางเพื่อสร้างความเข้าใจร่วมกันระหว่างผู้เรียนและผู้สอน
คำสองคำนี้บางคนอ่านแล้วก็จะเห็นว่ามันก็แค่การเล่นคำของผู้เขียนหรือนักการศึกษา
แต่ใจความของข้อความที่ยกมานี้ ในข้อความแรก
คือสื่อนั้นเป็นเครื่องมือของผู้สอนที่จะใช้เพื่อประกอบการสอน
ซึ่งผู้เรียนนั้นเป็นแต่เพียงผู้รับสารและไม่มีการส่งกลับสารนั้นสู่ผู้สอน
เปรียบเสมือนกับการดูรายการโทรทัศน์แล้วเรามีข้อติชมมากมายแต่ผู้จัดรายการไม่ได้ให้ช่องทางในการเสนอคำติชมกลับไปเราก็ทำได้เพียงคิดและเก็บคำติชมนั้นกลับไป
ในความคิดที่สองนั้นหรือในยุคปัจจุบัน สื่อคือตัวกลางที่เชื่อมความคิดของผู้เรียนและผู้สอนเข้าได้กัน
ซึ่งการจะเชื่อมความคิดของคนสองกลุ่มที่ติดต่อกันทุกวันเข้าด้วยกันนั้น
จะว่าเป็นเรื่องยากก็ยากจะว่าเป็นเรื่องง่ายก็ง่าย
แนวคิดนั้นเป็นเรื่องที่สามารถทำได้แต่การปฏิบัติจริงนั้นยังต้องรอการพิสูจน์
เพราะตัวกลางความคิดระหว่างผู้เรียนและผู้สอนนั้น
มีองค์ประกอบมากมายที่ต้องคำนึงถึงซึ่งนักเทคโนโลยีสื่อสารการศึกษาได้สร้างสื่อมากมายเพื่อตอบโจทย์นี้
แต่ทว่าสื่อมากมายนั้นยังไม่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานทั้งในส่วนของผู้สอนและผู้เรียน
อาทิเช่น
การใช้ E-mail
ในการติดต่อสื่อกันระหว่างผู้สอนและผู้เรียน
ข้อดีของการใช้สื่อกลางนี้คือ รวดเร็ว ไม่มีข้อจำกัดด้านสถานที่และเวลา ข้อเสียคือ
ความเหมาะสมของเอกสารหรือชิ้นงานบางอย่างก็มีทัศนคติที่ไม่รู้ว่ามาจากผู้สอนหรือผู้เรียนเองว่าเอกสารบางชนิดนั้นต้อง(ใช้คำว่าต้องนะครับซึ่งร้ายแรงกว่าไม่ควรอีกหนึ่งขั้น)ทำการส่งด้วยมือของตนหรือFace
to face กับผู้สอนอาทิ ใบลากิจ ใบลาป่วย
ซึ่งถ้าเราลองคิดหรือจินตนาการดูนะครับว่าถ้าการส่งไปลาต่างๆนี้ทำกันผ่าน E-mailแล้วมันจะวุ่นวายขนาดไหน

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น E-mailหรือสื่อใดๆ ก็ถือว่ายังไม่สามารถตอบโจทย์ทั้งหมดของสื่อการสอนในยุค
21st ได้เพราะสิ่งสำคัญคือการเข้าถึงสื่อ หนึ่งในความคิดที่ผู้เขียนคิดว่าไม่เหมาะสมและสมควรปรับแก้ในทุกๆสถาบันการศึกษาคือ
การเข้าใจว่าผู้เรียนหรือบุคลากรทางการศึกษาทุกคนนั้นมีเครื่องมือและความรู้ในการใช้สื่อเพื่อตอบสนองการเรียนที่เท่าเทียมกัน
ผู้เรียน บางคน อาจมี คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ(PC) โน๊ตบุ๊ค
ไอโฟน ไอแพด แต่บางคนอาจมีเพียงหนังสือ และกระดาษรายงานที่พร้อมจะจรดปากกาเพื่อถ่ายทอดข้อความ ซึ่งงานที่ออกมานั้นไม่ต่างจากงานที่ทำผ่านโปรแกรมคอมพิวเตอร์เลยแม้แต่น้อย
แต่การที่ผู้สอนทุกคนต่างมุ่งหวังจากผู้เรียนว่าผู้เรียนจะต้องสามารถที่จะตอบสนองต่อสื่อที่ผู้สอนคิดว่าเหมาะสมหรือเท่าทันกับยุคโลกาภิวัฒน์
นั้นจึงเป็นความคิดที่ผู้เขียนคิดว่าผู้สอนกำลังใช้สื่อการสอนในทางที่ผิดหรือขัดต่อจุดมุ่งหมายดั้งเดิมของสื่อการสอน
จำเป็นด้วยหรือที่สิ่งใหม่จำเป็นต้องดีกว่าสิ่งเก่าเสมอไป
จำเป็นด้วยหรือที่สิ่งของที่ถูกพัฒนาจะต้องดีกว่าสิ่งของเดิมที่ถูกมองว่าล้าหลัง
ผู้เขียนเคยอ่านหนังสือเล่มหนึ่งที่ได้ให้วิธีการแก้ปัญหาทุกปัญหาด้วยหลักการเดียวกันคือ
จงแก้ปัญหาด้วยวิธีการที่ง่ายที่สุดเสมอ ในความคิดผู้เขียนคิดว่าบางทีสื่อการสอนที่นักเทคโนโลยีทางการศึกษาและผู้สอนต้องการจริงๆอาจเป็นเพียงกระดาษที่พร้อมจะเขียนและถ่ายทอดความรู้กับผู้เรียนเพียงเท่านี้ก็เป็นได้
เหมือนผู้เขียนจะพาออกนอกเรื่องไปเยอะ
เอาเป็นว่าข้างบนออกจะเป็นแนวคิดของผู้เขียนสักเล็กน้อย(>o<) อย่างไรก็ตามวันนี้ผู้เขียนก็ขอนำสื่อชนิดหนึ่งมานำเสนอและวิเคราะห์ถึง
วิธีใช้ ข้อดี ข้อเสีย เพื่อให้ผู้อ่าน อ่านกันก่อนที่จะหาว่า
บทความนี้ออกแนวไร้สาระจนเกินไป สื่อที่ผู้ เขียนนำมาเสนอในวันนี้เชื่อว่าทุกคน
คงจะรู้จักกันเป็นอย่างดี และติดตามการเจริญเติบโตของเขาผ่านหนังและภาพยนต์มาไม่น้อย
สื่อที่จะนำมาเสนอนั้นก็คือ สื่อ Animation

Animation คือ การสร้างภาพเคลื่อนไหว โดยการนำภาพนิ่งหลายๆภาพที่มีความต่อเนื่อง มาฉายด้วยความเร็วที่เหมาะสม ทำให้เกิดภาพลวงตาของการเคลื่อนไหว
การ Animate หรือถ้าแปลกันอย่างตรงตัว ก็คือการสร้างความเคลื่อนไหว ให้ชีวิต กับสิ่งต่างๆ
ที่ยังไม่มีการเคลื่อนไหว หรือที่เรามักเรียกกันว่า ภาพStillหรือภาพนิ่ง
เหล่า Animatorหรือผู้สร้างสรรค์งานอนิเมชั่น
ก็เปรียบกับผู้ให้ชีวิตกับชิ้นงานหรือภาพนิ่งนั้นเอง

แล้วเรารู้ไหมครับว่าทำไมภาพที่ตอนแรกยังอยู่นิ่งๆ
แต่เหล่าAnimator เขามีวิธีอย่างไรให้ภาพเหล่านั้นออกมาขยับแข้งขยับขาให้เราชมได้
เพราะที่เราเห็นภาพเคลื่อนไหวนั้น
เป็นเพราะว่า มนุษย์เรามีการจำการรู้สึกสัมผัส (Sensory Memory)
การจำชนิดนี้เป็นการเก็บข้อมูลอย่างตรงไปตรงมาตามที่ประสาทสัมผัสรับรู้จาก
สิ่งเร้าและจะเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว เช่น การดูภาพยนตร์ซึ่งภาพแต่ละภาพจะยังคงติดตาอยู่เพียง
1 ต่อ 10 วินาทีเท่านั้น ปรากฏการณ์นี้เรียกว่า Persistence of Vision หรือเรียกว่า
การจำภาพติดตา (Iconic Memory)

แล้วเรานำAnimation มาเกี่ยวข้องกับสื่อการสอนอย่างไร
อย่างที่เราได้ทราบว่า Animation
คือการสร้างภาพเคลื่อนไหวเพื่อก่อให้เกิดจินตนาการ ของผู้รับสาร
หรือในที่นี้ก็คือผู้เรียน โดยเราต้องกล่าวถึง
ประสบการณ์การเรียนรู้ที่จะได้รับจากสื่อนั้น แบ่งออกเป็นสื่อโดยตรงและสื่อโดยอ้อม
สื่อโดยตรงคือการสัมผัส กับสิ่งของ หรือสิ่งที่ต้องการสื่อถึงผู้เรียน
แต่บางครั้งสิ่งของหรือเหตุการณ์บางอย่างไม่สามารถนำมาเพื่อให้ผู้เรียนได้สัมผัส
และรับรู้ได้จึงก่อให้เกิดสื่อโดยอ้อมขึ้นมา ซึ่ง Animation ก็คือสื่อโดยอ้อมรูปแบบหนึ่งที่มีสามารถสร้างแรงจูงใจให้ผู้เรียนเกิดความสนใจและเข้าใจในสิ่งที่ผู้สอนต้องการบอกเล่าผ่านสื่อได้
อาทิ เช่น หากเราต้องการสอนในเรื่องของการเพาะปลูกพืช
แต่โรงเรียนของเราไม่มีสถานที่เอื้ออำนวยในการลงแปลงเกษตรของจริง
ครั้นจะใช้ภาพจากสไลด์สอน ผู้เรียนก็จะเกิดความเบื่อหน่าย
ผู้สอนก็อาจนำเกมส์หรือสื่อAnimationในเรื่องของการเพาะปลูกมาช่วยสอนได้

โดยสื่อAnimation นั้นจะมีข้อดีคือ
·
สามารถสร้างแรงจูงใจให้กับผู้เรียนให้หันมาสนใจการสิ่งที่ผู้สอนต้องการสื่อได้
·
สร้างประสบการณ์การเรียนรู้ที่ใกล้เคียงกับการเรียนรู้ทางตรง
มากกว่าสื่อการเรียนรู้ทางอ้อมชนิดอื่นๆ
·
สามารถพลิกแพลงการใช้งานกับผู้เรียนได้หลากหลายประเภท
·
ไม่สร้างความรู้สึกซ้ำซากจำเจให้กับผู้เรียน

ข้อเสียของสื่อ Animation คือ
·
ผู้สอนต้องมีความรู้ในการใช้สื่อหรือสร้างสื่อที่ลึกกว่าการใช้สื่อชนิดอื่นๆ
·
สื่อ Animation จะต้องใช้อุปกรณ์และเครื่องมือที่ยุ่งยาก
·
ผู้สอนไม่สามารถหรือไม่ควรปล่อยให้ผู้เรียน
เรียนรู้จากสื่อโดยไม่ให้คำปรึกษา
เพราะการที่ปล่อยปละโดยเห็นว่าสื่อนั้นสามารถสอนผู้เรียนแทนตนได้เป็นความคิดที่ผิด
แม้ว่าสื่อจะสามารถขยับและถ่ายทอดประสบการณ์ออกมาได้
แต่สื่อก็ยังเป็นเพียงวัตถุถ่ายทอด
ที่ไม่สามารถตอบคำถามหรือเข้าใจความนึดคิดของคนได้ ฉะนั้นความคิดที่ว่าสื่อจะมาแทนผู้สอนหรือสามารถสอนแทนผู้สอนได้นั้นเป็นความคิดที่ผิด
ไม่ว่าจะเป็นสื่อที่มีความสามารถเพียงใด
สื่อก็ยังคงเป็นเพียงเครื่องมือที่ช่วยให้การสอนดียิ่งขึ้นไม่ใช่
เครื่องมือที่ทำให้การสอนง่ายขึ้น
·
สื่อต้องมีการดูแลรักษาและความรู้ในการใช้งานที่เหมาะสม

เมื่อมีข้อเสียแล้วก็ขอแถมวิธีการแก้ปัญหาที่เป็นวิธีการสำคัญที่เรียกว่าหัวใจของการใช้สื่อการสอน
นั้นก็คือการเอาใจใส่และความเข้าใจในตัวสื่อและผู้เรียน บางครั้ง
เราสามารถใช้สื่อมากกว่าหนึ่งประเภทเพื่อตอบสนองหรือตอบโจทย์ที่เราได้รับมาขึ้นอยู่กับว่า
เราเข้าใจถึงประโยชน์ของสื่อและศักยภาพของผู้ใช้สื่อมากน้อยเพียงใด หากผู้อ่านคำนึงถึงสองสิ่งนี้แล้วนำไปประยุกต์ใช้ได้
ผู้เขียนก็คิดว่าท่านคือผู้มีศักยภาพในการถ่ายทอดความรู้ให้กับคนรุ่นต่อไปได้อย่างแน่นอน
เป็นอย่างไรมั้งครับหลังจากอ่านเรื่องราวของสื่อการสอนที่ผู้เขียนนำมาเสนอในวันนี้
ดูเหมือนจะเป็นเนื้อหาที่หนักจนเกินไปรึป่าวก็ไม่รู้ แถมยังมีความคิดของผู้เขียนแทรกมาเป็นระยะๆด้วย
ก็หวังว่าบทความนี้จะสร้างความคิดหรือแนวทางให้ท่านผู้อ่านที่หลงผิดเข้ามาได้ไม่มากก็น้อยนะครับ
วันนี้ก็ต้องขอลาไปก่อนนะครับ
คราวหน้าผู้เขียนก็จะนำเรื่องราวไร้สาระมาฝากอีกเช่นเคย อย่าลืมกินข้าวอิ่มๆ
แล้วก็รักพ่อแม่มากๆนะครับบบ
ขอขอบคุณเนื้อหาและภาพจาก
http://www.gotoknow.org/blogs/posts/303101?
http://www.kookkaicartoon.com/Welcome%20to%20Home%20KookKai-Car-Toon.html
http://www.kroobannok.com/blog/41806
กิดานัน มลิทอง . (2548) เทคโนโลยีเเละสื่อสารการศึกษา. กรุงเทพ : อรุณการพิมพ์, หน้า 99-132
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น