วันอังคารที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

Johnie walker การเดินทางที่ไม่สิ้นสุด

            สวัสดีท่านผู้อ่านอีกครั้งครับ เนื่อจากวันนี้ได้ฤกษ์งามยามดีในวาระดิถีวันลอยกระทง ผู้เขียนจึงได้โคจรมาพบกับผู้อ่านอีกครั้ง ทั้งที่ยังจากกันได้ไม่นาน ยังไม่คิดถึงผู้อ่านเลยต้องมาเจออีกแล้ว(ล้อเล่นนะครับ) ในวันนี้ซึ่งเป็นวันที่มีบรรยากาศอบอวลเเบบไทยๆทั้งเพลงรำวงที่เปิดกันสนั่นหวั่นไหวตั้งแต่เมื่อคืนยาวจนถึงคืนนี้ ซึ่งอย่างที่เรารู้กันว่าคนไทยเรานั้นรักงานสังสรรค์รื่นเริงเป็นอย่างมาก วันเกิดก็เฮ! งานแต่งก็เฮ! ขึ้นบ้านใหม่ งานบวช ไปจนถึงมีคนตายพี่ไทยเราก็เฮ! ได้เอากับเขาสิ ซึ่งการ เฮ! ที่ว่านี้ก็คือการพบปะสังสรรค์ในหมู่เครือญาติเพื่อนสนิทหรือแม้กระทั่งคนที่พบกันครั้งเดียวแต่ถูกชะตาเราก็เฮ! กันได้เเล้วสิ่งที่จะขาดไม่ได้ในการ เฮ!ของเรานั้นก็คือสุราคับ เเหมะเหมือนผมจะพาไปเรื่องที่ไม่เหมาะสมจริงๆผมไม่ได้จะพูดเรื่องสุราหรือเหล้าหรอก ที่พูดมาทั้งหมดนั้นคือการเกริ่นคับ
 (แอบโดนคนอ่านด่า><) 



           อันที่จริงแล้วเรื่องที่ผมต้องการนำเสนอวันนี้คือเรื่องของ สื่อสิ่งพิมพ์ ท่านผู้อ่านอาจจะงงว่าแล้วสื่อสิ่งพิมพ์นั้นมาเกี่ยวกับเรื่องของเหล้าที่เกริ่นมาได้อย่างไร(ผมจะทำให้มันเกี่ยวซะอย่างผู้อ่านมีปัญหารึป่าวละ ชิชิ) เรื่องของเรื่องคือสื่อสิ่งพิมพ์ที่ผมยกมาในวันนี้คือ โปสเตอร์ โฆษณาเหล้าแบรนด์ดังที่สามารถพูดได้เต็มปากว่าไม่ว่าจะไปในวงสังคมหรือวงเหล้าวงไหนแล้วเห็นเจ้าเหล้ายี่ห้อนี้ทุกคนจะต้องรู้จัก ซึ่งแบรนด์ดังกล่าวก็คือ




      ถูกต้องครับ เหล้าที่ผมพูดถึงก็คือ เหล้าลุงจอห์นนี่ นั้นเองภาพชายสวมหมวกที่ชอบเดินไปเดินมาเดินเข้าเดินออกร้านเหล้าและห้างร้านต่างๆนี้คงพอคุ้นหน้าคุ้นตากันเป็นอย่างดีกับคนไทยเราหรือถ้าจะให้พูดให้ยิ่งใหญ่ก็สามารถบอกได้ว่า ลุงจอนห์นี่ เขาเดินเข้าเดินออกทุกที่ทั่วโลกมาเเล้วไม่ว่าจะเป็นในห้องประชุมธุรกิจใหญ่ๆ หรือแคร่ไม้ใต้ต้นมะขามก็ตามลุงจอนห์นี่แกก็เเวะเวียนไปทั่วจริงๆ งั้นเรามาดูกันดีกว่า ว่าการเดินทางของลุงจอห์นนี่เรานั้นมีที่มาที่ไปอย่างไรและเกิดการพัฒนาอะไรบ้าง





ในช่วงเเรกนั้น โปสเตอร์ของ จอนห์นี้วอคเกอร์ในประเทศไทยนั้นจะเน้นในด้านการโฆษณาชวนเชื่อตรงๆเลยว่า ดื่มแล้วสุขกายสมบูรณ์ โดยเอกลักษณ์เดียวที่ยังคงไว้ของจอห์นนี่ วอล์คกอร์ คือ ภาพของชายสวมหมวกถือไม่เท้าที่ยังคงเป็นสัญลักษณ์หลักของเเบรนด์ครับ ต่อไปเรามาดูในยุคต่อไปของการเดินทางกันนะครับ














          หนึ่งในคำพูดติดปากของโฆษณาเเบรนด์ Johnnie walker ที่เชื่อว่าทุกคนจำได้คือ Keep walking หรือ ถ้าเเปลเป็นไทยให้สละสลวยหน่อยคือ จงก้าวเดินต่อไป(แม้ว่าจะมีอุปสรรคอย่างไร) โปสเตอร์ชิ้นนี้จะเห็นได้ว่า ภาพลักษณ์ของลุงจอห์นนี่จะชัดเจนในการสื่อความหมาย คือรูปการเดินทางของลุงเขาและภาพของสะพานที่มีบางส่วนชำรุด ซึ่งสื่อการเดินทางของเรานั้นแน่นอนว่าจะต้องมีอุปสรรคแน่นอนแต่ไม่ว่าจะมีอุปสรรคใดๆการเดินทางของเราก็ยังต้องดำเนินต่อไป โปสเตอร์ชิ้นนี้จึงถือว่าเป็นทั้งโปสเตอร์ที่ติดตาที่สุดชิ้นหนึ่งและเป็นโปสเตอร์ที่ให้กำลังใจที่ดีอีกชิ้นหนึ่งครับ แต่ว่านี่ก็ยังเป็นการเดินทางในด้านสื่อสิ่งพิมพ์ของลุงจอห์นนี่ เพราะยังมีสื่ออีกหลายชิ้นที่จะไม่เน้นในการโฆษณาถึงเหล้าหรืออะไรที่เกี่ยวกับเหล้าเลย(ไม่รู้ว่าเพราะลิขสิทธ์หรือสัญญาคุ้มครองอะไรหรือเปล่า) แต่จะเน้นในด้านการจับสิ่งที่น่าสนใจในช่วงเวลานั้นๆมาเป็นจุดขายครับ เช่นโปสเตอร์โฆษณาชิ้นต่อๆไปนะครับ



ทุกคนเห็นหน้าคุณคนนี้แล้วอย่าพึงเข้าใจผิดนะครับว่านี่คือลุงจอห์นนี่ ลุงเราเขาเป็นชาวสก็อตเเลนด์ครับ แต่ชายผิวดำที่เราเห็นนี้คือนักกีฬาวิ่งชาวเเอฟฟริกา ที่ไปเเข่งขันเเละคว้าชัยชนะในการเเข่งขันกีฬาระดับโลก ซึ้งทางลุงจอห์นี่เราก็จับพี่คนนี้มาเป็นพรีเซนเตอร์ซะเลยเพราะยังไงการวิ่งกับการเดินไปเรื่อยๆของลุงจอห์นนี่ก็คล้ายกัน โดยในโฆษณาชิ้นนี้ก็ยังคงคอนเซ็ปเรื่อง Keep walking เหมือนเดิมเพียงแต่เพิ่มในเรื่องของการประสบความสำเร็จจากความพยายามครับ ซึ้งจากโฆษณาสองชิ้นที่เราได้เห็นจะพบว่า การทำโปสเตอร์สื่อสิ่งพิมพ์ สื่อโฆษณาต่างๆของ Johnnie walker นั้นจะไม่เน้นในการโฆษณาเหล้าในเเบรนด์เลยก็ว่าได้ แต่จะเน้นไปทางให้กำลังใจคนที่กำลังท้อเเท้หรือกำลังหาจุดมุ่งหมายของชีวิตซึ้งผลตอบรับนั้นก็ดีเกินคาดเพราะโปสเตอร์ที่มีความหมายดีๆเหล้านี้กลับติดตาผู้บริโภคเป็นอย่างมาก ซึ่งในยุคต่อไปก็ได้มีโฆษณาอีกหลายชิ้นที่ออกมา ทั้งในรูปแบบของสื่อสิ่งพิมพ์ สื่อโฆษณา แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่มีวันเปลี่ยนเเปลงในเนื้อหาของสื่อที่ต้องการเเสดงออกมาคือการเดินทางที่ไม่มีวันสิ้นสุดเเม้จะมีอุปสรรคมากมายขนาดไหนมาขัดขวาง ต่อไปจะเป็นตัวอย่างโปสเตอร์ต่างๆมาให้ชมนะครับ


 ชิ้นนี้จะเป็นการเปรียบเทียบความสามารถของคนกับหุ่ยยนต์นะครับ ประมาณว่าอย่าน้อยใจไปถึงหุ่นยนต์จะเเข็งเเรงรวดเร็วและเกือบจะเหมือนสมบูรณ์แบบแต่สิ่งหนึ่งที่หุ่นยนต์ไม่มีก็คือวิสัยทัศน์และจินตนาการที่เป็นพรสวรรค์ของมนุษย์เราครับ


ชิ้นนี้เป็นเรื่องราวของกลุ่มเพื่อนที่ยอมเสียสละสิ่งต่างๆให้กันเพื่อให้การเดินทางของเพื่อนนั้นสามารถเดินทางต่อไปได้ ในโฆษณาชิ้นนี้จะสื่อถึงเรื่องของมิตรภาพเป็นส่วนใหญ่จะเห็นได้จากภาพของเพื่อนในโปสเตอร์นะครับ








มาถึงโปสเตอร์ชิ้นสุดท้ายของวันนี้นะครับ ชิ้นนี้เป็นเหมือนโปสเตอร์ที่บอกเล่าเรื่องราวตำนานของลุงจอห์นนี่เลยก็ว่าได้ การเดินทางอันยาวนานถูกนำมาเล่าเป็นเรื่องราวๆทั้งจุดกำเนิด และวิวัฒนาการต่างๆ จริงๆแล้วโปสเตอร์ชิ้นนี้มีอีกหลายชุดนะครับ แต่ถ้าดูเป็นคลิปโฆษณาจะเข้าใจกว่า 


จากที่เราได้ดูสื่อไปหลายชิ้นเเล้วผู้อ่านทุกท่านสังเกตเห็นอะไรมั้งครับ ถ้ายังนึกไม่ออกเดี๋ยวผู้เขียนจะสรุปให้ตอนนี้เลยนะครับ 
1. โปสเตอร์ส่วนใหญ่ของ Johnnie walker จะเน้นสีเหลืองและดำเพื่อนอาจสงสัยทำไมต้องสองสีนี้ ความหมายของสองสีนี้คือ สีเหลืองหมายถึงสีของความนุ่มนวลของเหล้ามอลต์หรือก็คือผลิตภัณฑ์ของลุงจอห์นนี่ และสีดำหมายถึงความคลาสสิค ความลึกลับ และความน่าค้นหาในตัวเหล้าเเบรนด์นี้ยังไงละครับ
2. สังเกตไหมว่าโฆษณาแต่ละชิ้นจะถูกจัดทำให้เเต่ละภูมิภาคเท่านั้นไม่ใช่ว่าทุกชิ้นจะได้มาฉายหรือมาให้เห็นในเมืองไทยเพราะถ้าลุงจอห์นนี่เอานักวิ่งจากเเอฟฟริกา มาโฆษณาในไทยคนไทยอาจสงสัยว่านี่เขาไปขุดใครมาโฆษณา แต่ถ้าเปลี่ยนไปใช้เป็นนักกีฬายกน้ำหนักของไทย หรือนักบอล นักการเมืองคนไทยน่าจะจำได้มากกว่า
3.โฆษณาทุกชิ้นจะต้องมีรูปชายสวมหมวก ถือไม่เท้าก้าวเดินอยู่(แน่นอนสิก็นั้นมันสัญลักษณ์เเบรนด์เขานิ)

และนี่คือข้อสังเกตคร่าวๆของผู้เขียนนะครับ ถ้าผู้อ่านสังเกตหรือเห็นข้อเเตกต่างอย่างไรก็อย่าลืมมาพูดคุยเเลกเปลี่ยนความเห็นกันนะครับเพราะผู้อ่านหลายคนย่อมสามารถสังเกตและมีความเห็นที่เเตกต่างกัน อย่าเชื่อในสิ่งที่คนเล่าจนกว่าจะสัมผัสด้วยตัวเองนะครับ ว่าแล้วผู้เขียนก็ต้องขอลาไปสัมผัสผลิตภัณฑ์ของลุงจอห์นนี่เราบ้างดีกว่าเพื่อความละเอียดของข้อมูลกว่าเดิมว่าจะนุ่มละมุนขนาดไหน(>o<) วันนี้ก็ขอลาไปก่อนนะครับสวัสดีครับ

วันจันทร์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

นวนิยาย ที่เปลี่ยนชีวิตข้าพเจ้า

         สวัสดีครับ ท่านผู้อ่านทุกท่าน วันนี้ผู้เขียนผู้มีอารมณ์สุนทรีย์ยิ่งก็กลับมาอีกครั้ง ต้องขออภัยด้วยที่กำหนดส่งงานเขียนของผมไม่ค่อยตรงเวลา ก็อย่างที่บอกว่าผมเป็นนักเขียนที่มีอารมณ์ สุนทรีย์ อิอิ (//เเอบโดนคนอ่านหมั่นไส้) เนื่องจากวันนี้ผู้เขียนได้กลับมาค้นหนังสือ ในกรุ เอ้ย ชั้นหนังสืออันเเสนเป็นระเบียบ ของผู้เขียน เพื่อหาหนังสือดีๆมาสร้างเเรงบันดาลใจในหน้าหนาวอันเเสนเกียจคร้านนี้ เลยไปหยิบได้หนังสือมาเล่มหนึ่ง ไม่สิ ชุดหนึ่งมากกว่า หนังสือชุดนี้กล่าวได้ว่า เป็นทั้งเเรงบันดาลใจให้ผู้เขียนเริ่มแต่งนิยายของตัวเอง (แม้จะไม่เคยสำเร็จเป็นรูปเป็นร่าง) และเป็นทั้งหนังสือที่เปี่ยมไปด้วยปรัชญาและวิธีการดำเนินชีวิตมากมาย ที่ไม่ว่าผู้เขียนจะหยิบยกมาอ่านครั้งใดก็มักจะมีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อย ให้ได้ค้นหาอยู่ตลอด และสุดท้ายหนังสือชุดนี้ ยังเป็นเเรงผลักดันให้ผู้เขียนในยามที่เกิดความท้อเเท้เเละเหนื่อยจากการดำเินินชีวิต อันเเสนวุ่นวาย

อ๊าาา เผลอ เเป๊บเดียว ก็เกริ่นมาตั้งเยอะเเล้ว งั้นเรามารู้จักหนังสือเรื่องที่ว่ากันเลยดีกว่าครับ




 เชื่อว่าหากผู้อ่านทุกท่านอยู่ในวัยที่ใกล้เคียงกับผู้เขียน ส่วนใหญ่ก็น่าจะพอคุ้นหน้าคุ้นตากับหนังสือเรื่องนี้ หรือถ้าไม่คุ้นหน้า ก็น่าจะได้ยินชื่อ หัวขโมยแห่งบารามอส มาบ้าง ใช้ครับหนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือ นวนิยาย แต่ นวนิยาย เรื่องนี้ที่บางท่านไม่เคยอ่าน และคิดว่าก็คงจะเหมือน นิยายเด็กๆเรื่องอื่นๆที่มีการต่อสู้กัน การทำภารกิจ การเข้าโรงเรียนของเด็ก และอื่นๆที่เห็นได้กับนิยายเรื่องอื่นๆ ใช่ครับหัวขโมยเเห่งบารามอส ก็เหมือนนิยายเรื่องอื่นๆ 

แต่หนังสือนิยายเล่มนี้คือนิยายเรื่องเดียวที่ผู้เขียนขอใช้หัวใจดวงน้อยๆของตัวเองรับประกันว่า นวนิยายเรื่องนี้ได้มอบความหวัง และปรัชญาการดำเนินชีวิตให้กับผู้เขียนมากยิ่งกว่านิยายหรือหนังสือธรรม เรื่องใดๆที่เคยอ่านมา ความลงตัวที่ถูกกลั่นกรองและเเต่งเเต้มจากเจ้าของนามปากกา Rabbit ที่ยังติดตา ตรึงใจไม่ว่าผู้เขียนจะอายุเพิ่มขึ้นเท่าไรและหยิบหนังสือเรื่องนี้มาอ่านครั้งใด ก็ยังคงความซาบซึ้งและสร้างความประทับใจให้ผมไปทุกครั้ง หากจะถามว่าหนังสือเล่มนี้เปลี่ยนชีิวิต ผู้เขียนอย่างไร ก็อยากจะให้ดูว่า ปัจจุบันที่ผู้เขียนเป็นบุคคลเฮฮา เฟรนลี่ เข้าได้กับทุกคนเหมือนทุกวันนี้นั้น ส่วนหนึ่งเกิดจากเเรงผลักดันจากหนังสือเล่มนี้ จากเด็กชายใส่เเว่นที่นั่งหน้าห้อง สนใจแต่การเรียนไปวันๆ กลับบ้านไปนั่งเล่นเกมส์ ไปสู่เด็กเเว่นที่เป็นที่รักของเพื่อนๆ สามารถเข้าไปพูดคุยได้กับทุกคน จนทุกคนบอกว่าเป็นคนอัธยาศัยดีมากคนหนึ่ง เชื่อหรือไม่ครับว่าการเปลี่ยนเเปลงนี้เกิด จากหนังสือนิยายธรรมดาๆ สี่เล่มนี้ 

     หากผู้อ่านไม่เชื่อก็ไม่เป็นไรครับ แต่ผู้อ่านที่น่ารักขอให้ยอมสละเวลาสักเล็กน้อยลองไปหาหยิบยืมมาอ่าน หรือถ้าท่านใดคิดสะสมก็รับรองว่าจะไม่เสียใจเเน่นอนครับกับหนังสือชุด หัวขโมยเเห่งบารามอส เเล้วท่านจะตกใจที่พบว่า ทุกบรรทัด ทุกตัวอักษร จะสามารถออกมาโลดเเล่นและสร้างความประทับใจไม่รู้ลืมให้กับท่านได้อย่างไร



ก่อนจากกันนี้ ผู้เขียน ก็อยากยกคำพูดหรือประโยคที่เป็นเครื่องเตือนใจให้กับผู้เขียนทุกครั้งที่ได้อ่าน มาเเบ่งปันกันนะครับ

อันเเรก เป็นประโยคที่ไว้เตือนเราเมื่อเรารู้สึกท้อเเท้หรือผิดหวังกับตัวเอง
"         เค้าก็มีดีของเขา นายก็มีดีของนาย เเทนที่จะเสียเวลามาทุกข์เพราะอิจฉา เอาเวลามาหาข้อดีของตัวเอง แล้วนายจะรู้ว่าไม่จำเป็นต้องไปเทียบกับใคร"

อันที่สอง เรียนรู้จากความผิดพลาด
"  พลาดก็คือพลาด คนเรามันเรียนรู้จากความผิดพลาด คนไม่เคยผิดก็คือคนที่ไม่ทำอะไรเลย คนไม่ทำอะไรเลยก็ไม่มีวันก้าวหน้า "

อันสุดท้ายที่จะขอยกมานะครับ คือเรื่องความเสมอต้นเสมอปลาย
"  ไขมุกเม็ดใหญ่เม็ดเล็กเหมือนกัน แต่ความตั้งใจของคนสิตอนต้นตอนปลายไม่เหมือนกัน เริ่มทำตอนเเรกก็ดูตั้งใจ แต่จะมีสักกี่คนที่เสมอต้นเสมอปลายทำไปเรื่อยๆก็เบื่อ พอเบื่อก็ตั้งใจน้อยลงสุดท้ายก็สักเเต่ว่าทำเท่านั้น"

ถ้าเพื่อนๆอยากรู้ว่าประโยคเหล่านี้เกิดขึ้นในเหตุการณ์ใดเเหละสถานการณ์ไหนในเรื่องก็อย่าลืมไปติดตามอ่านกันนะครับ วันนี้ผู้เขียนก็ขอลาไปก่อนพบกันฉบับหน้าครับ

ขอขอบคุณ
หนังสือชุด หัวขโมยแห่งบารามอส ของคุณ Rabbit
และ http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=either&group=8 สำหรับรูป ภาพน่ารักๆของหัวขโมยของเราครับ