วันศุกร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2556

TECHNO SHOWCASE ชื่อนี้มีแต่ความสนุก

        และแล้วเราก็มาถึงบล็อคสุดท้ายของผู้เขียนในเทอมนี้กันนะครับ อย่างที่ได้เล่าให้ผู้อ่านฟังไปในข้างต้นแล้วว่าผู้เขียนนั้นได้มีโอกาสจัดงานนิทรรศการของตนเองเป็นครั้งแรก ซึ่งจากการที่ประชุมกันกว่าสิบรอบ รูปร่างงานนิทรรศการของผู้เขียนนั้นก็ออกมาเป็นรูปเป็นร่าง โดยนิทรรศการที่จะจัดนั้นเกี่ยวกับสื่อการเรียนการสอนในรูปแบบต่างๆ ซึ่งสาขาที่ผู้เขียนได้เรียนอยู่นั้นก็เป็นสาขาที่มีหน้าที่ในการผลิตและใช้สื่อการเรียนการสอนรูปแบบต่างๆนี้ในการสอนอยู่แล้ว ซึ่งเมื่อได้จัดนิทรรศการที่เผยเเพร่ความรู้การใช้สื่อก็เป็นเหมือนการนำสิ่งที่ได้เรียนมาตลอด 4 ปี มาเผยเเพร่และถ่ายทอดให้กับนิสิตครูและผู้สนใจท่านอื่นๆ ได้เรียนรู้และทำความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้สื่อ ซึ่งบอกเลยว่ากว่าจะออกมาเป็นงานนิทรรศการงานหนึ่งนั้นผ่านขั้นตอนมาอย่างมากมาย ทั้งการประชุมงาน วางเเผน เตรียมงาน จัดสถานที่ ซึ่งในบล็อควันนี้ผู้เขียนจะขอนำประสบการณ์และความรู้สึกที่ได้ทำงานในครั้งนี้มาถ่ายทอดให้ได้ฟังกันว่ากว่าจะออกมาเป็นนิทรรศการหนึ่งๆนั้นเราต้องทุ่มเทอะไรไปบ้าง


และในขั้นเเรกของการดำเนินงานแน่นอนว่าจะต้องเป็นขั้นแต่ของการวางเเผนและเตรียมการ แต่ในการจัดงานในครั้งนี้ถือว่าเป็นโชคดีที่เป็นส่วนหนึ่งของวิชาที่มี ท่านอาจารย์ นัทธีรัตน์ พีระพันธุ์ เป็นผู้ให้คำปรึกษาและช่วยเสนอแนะตลอดการทำงาน การจัดงานที่ผู้เขียนและเพื่อนๆไม่มีประสบการณ์ความรู้หรือความเข้าใจเกี่ยวกับงานนิทรรศการเลย เรียกได้ว่า ณ เวลานั้นต้นทุนในการจัดงานเป็นศูนย์แต่ท่านอาจารย์ได้ช่วยเสนอเเนะปูแนวทางต่อยอด จนปิรามิดกลุ่มนี้เริ่มก่อร่างสร้างตัวได้ ซึ่งเรียกได้ว่ากว่าจะถึงวันนี้ ผู้เขียนทุ่มพลังลงไป


100 ในการจัดงาน แต่ท่านอาจารย์คงต้องทุ่มเทพลังไปกว่า 1000 กว่าจะตรวจและให้คำเสนอแนะให้กับเพื่อนๆ
ของผู้เขียนอีกกว่าสี่สิบคน เรียกได้ว่างานนี้เหนื่อยทั้งอาจารย์และนิสิตเลยทีเดียว และในการประชุมงานนั้น ได้แบ่งผู้จัดงานหรือก็คือตัวผู้เขียนและเพื่อนออกเป็น 8 กลุ่ม เพื่อให้คลอบคลุมและง่ายต่อการทำงานซึ่งแต่ละกลุ่มนั้นก็จะรับผิดชอบในหน้าที่ส่วนของบู๊ทตน ซึ่งผู้เขียนจะขออธิบายหน้าที่การทำงานของแต่ละบู๊ทไปในครั้งเดียวกันเลยนะครับโดยการเเบ่งนั้นเเบ่งได้ดังนี้









NOW YOU SEE ME  เป็นบู๊ทที่จัดกิจกรรม Workshops โดยให้ผู้ที่สนใจมาทดลองจัดรายการโทรทัศน์เพื่อการศึกษา และชมผลงานที่ได้อัดไว้ ซึ่งในบู๊ทนี้นั้นก็เป็นหนึ่งในสีสันสำคัญของงานในครั้งนี้เลยก็ว่าได้ครับ 






DO YOU HEAR ME  บู๊ทนี้จะเป็นการสาธิตการจัดรายการวิทยาเพื่อการศึกษาและการทดลองให้ผู้ที่สนใจได้ Workshops จัดรายการวิทยุเพื่อการศึกษา ซึ่งจากที่ได้ฟังมาก็มีนิสิตหลายท่านที่มีความสามารถในการจัดรายการได้อย่างไม่น้อยหน้าดีเจรายการวิทยุต่างๆเลยทีเดียว





TECH FOR TEACH   เป็นบู๊ทที่จัดเเสดงสื่อการสอนที่นิสิตครูรุ่นต่างๆได้ทดลองผลิตและมอบไว้ให้กับภาควิชาเทคโน โดยในบู๊ทนี้นั้นมีกิจกรรมการผลิตสื่อ อาทิ ตุง หรือ พวงมโหตร ซึ่งเป็นการนำกระดาษว่าวมาตัดให้เป็นรูปร่างใช้ประดับในงานบุญต่างๆ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งสื่อการสอนที่ทำได้ง่ายและสามารถประยุกต์ใช้ในการสอนได้หลากหลายวิชา และในบู๊ทนี้ก็เป็นอีกหนึ่งในบู๊ทที่ได้รับคำชมอย่างมากมายจากผู้เข้าชม น่าดีใจจริงๆครับ


SEE SNAP  บู๊ทนี้จะเป็นบู๊ทที่จัดแสดงผลงานภาพถ่ายของนิสิตและผู้มีความสามารถด้านการถ่ายภาพ อีกทั้งยังมีการอธิบายวิธีการถ่ายภาพในลักษณะต่างๆ และที่เป็นจุดเด่นที่สุดของนิทรรศการในครั้งนี้ก็ว่าได้นั้นก็คือการจัดให้ผู้เข้าชมได้เข้ามาถ่ายภาพในสตูดิโอจำลองที่ทางผู้จัดนั้นบริการถ่ายภาพให้ฟรีพร้อมจัดส่งภาพถ่ายน่ารักๆกลับไปทาง E-mail ให้อีกด้วย เรียกได้ว่ามาในครั้งนี้นั้นได้ทั้งความรู้ ความสนุกและรูปถ่ายติดไม้ติดมือกันไปอย่างถ้วนหน้าเลยละครับ


AWAY SO FAR  บู๊ทนี้ได้จัดเเสดงเกี่ยวการทำงานของโทรทัศน์ทางไกลโดยมีการทดลองให้ผู้เข้าชมได้ทราบถึงกระบวนการทำงานโดยการใช้โปรเเกรม Skype ผ่านคอมพิวเตอร์สองเครื่อง อีกทั้งยังมีการทำบอร์ดความรู้ให้กับผู้เข้าชมตอบคำถามชิงของรางวัลอีกด้วย






X-PLORING TECH FOR FUN  หลบจากบู๊ทการศึกษาและความรู้ต่างๆ มาอีกหนึ่งในบู๊ทที่ได้ชื่อว่าผู้เข้าชมมากที่สุดนั้นก็คือ บู๊ทเกมเพื่อการศึกษาโดยในบู๊ทนี้นั้นจะให้ผู้เข้าชมได้ร่วมเล่นเกมชิงของรางวัลต่างๆมากมาย ซึ่งจากที่ได้ยินเสียงหัวเราะและเสียงอึกทึกจากบู๊ทนี้ก็เป็นสิ่งรับรองได้เลยว่าผู้เข้าชมจะต้องได้รอยยิ้มและของรางวัลกลับไปอย่างล้นหลามเลยทีเดียว




READ ME PLEASE  บู๊ทนี้เป็นบู๊ทที่จัดแสดงสื่อสิ่งพิมพ์ซึ่งผลงานนิสิตทั้งของผู้เขียนเองและของเพื่อนๆซึ่งมีทั้งการทำนิตยสาร หนังสือทำมือ และในบู๊ทนี้นั้นยังมีการให้ความรู้ด้านการออกแบบนิตยสารให้กับผู้ที่สนใจได้ทดลองออกเเบบหน้าปกนิตยสารอีกด้วย 





AROUND THE WORLD  บู๊ทสุดท้ายของเรานะครับ ซึ่งในบู๊ทนั้นจัดแสดงเกี่ยวกัลเครือข่ายสังคมออนไลน์ ว่ามีส่วนช่วยในการจัดการเรียนการสอนอย่างไร เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งบู๊ทที่สามารถนำความรู้ปประยุกต์ใช้กับการเรียนได้อย่างดีเชียวละครับ





และที่ท่านผู้อ่านได้รับชมไปนั้นก็คือส่วนหนึ่งของการจัดนิทรรศการครั้งนี้ของผู้เขียนและเพื่อนๆ ซึ่งหากจะบอกความรู้สึกทีได้จากการจัดงานในครั้งนี้ก็คงสามารถอธิบายได้สั้นๆเพียงคำเดียวเท่านั้น นั้นก็คือ "ภูมิใจ" ความภูมิใจในครั้งนี้นั้นเกิดจากหลายความรู้สึกรวมกัน อาทิเช่น ความรู้สึกภูมิใจที่ได้ถ่ายทอดความรู้ให้กับผู้ที่สนใจ ความรู้สึกภูมิใจที่งานที่เราเป็นคนจัดได้รับความสนใจจากนิสิตและบุคคลต่างๆ และสุดท้ายผู้เขียนรู้สึกภูมิใจเป็นอย่างมากที่งานในครั้งนี้ได้รับคำชมจากคณาจารย์และผู้เข้าร่วมทุกท่าน


วันพฤหัสบดีที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2556

นิทรรศการออนไลน์ ความรู้หาง่ายๆแค่คลิ๊ก

           สวัสดีท่านผู้อ่านอีกครั้งนะครับวันนี้ผู้เขียนฟิตก็จะขอเขียนเกี่ยวในเรื่องราวๆสั้นเกี่ยวกับนิทรรสการอีกหนึ่งเรื่องราว ก่อนที่จะเข้าสู่เนื้อหาบล็อคของเราต้องขอเกริ่นนำเชิงความรู้สักเล็กน้อยให้กับท่านผู้อ่านที่รักทุกท่าน ในเรื่องราวของนิทรรศการนั้นผู้อ่านหลายท่านอาจมีความรู้ความเข้าใจอยู่แล้วว่าประเภทของนิทรรศการนั้นถูกเเบ่งโดยใช้เกณฑ์ลักษณะมากมายเป็นตัวเเบ่งไม่ว่าจะเป็น ช่วงเวลา สถานที่ หรือว่าจุดมุ่งหมายของนิทรรศการ เช่นถ้าเเบ่งตามจุดมุ่งหมายของนิทรรศการ เราก็จะสามารถเเบ่งออกได้ เป็นนิทรรศการเพื่อให้ความรู้ นิทรรศการเพื่อส่งเสริมศิลปะ นิทรรศการเพื่อส่งเสริมการค้า และนิทรรศการเพื่อความบันเทิง เหล่านี้คือการเเบ่งตามจุดมุ่งหมายและวัตถุประสงค์ของงาน แต่เกณฑ์ในการเเบ่งนั้นมีมากมายหลากหลายประเภทซึ่งหากจะไล่มาทั้งหมดนั้นคงกินเนื้อที่ของบล็อคนี้ไปจนหมด แต่ที่ผู้เขียนสนใจและอยากนำเสนอให้กับท่านผู้อ่านในวันนี้นั้น เป็นนิทรรศการที่ใกล้ตัวเรามาก แค่เรารู้จักวิธีการและการเข้าถึงเราก็สามารถรับข่าวสารและสาระความรู้จากนิทรรศการประเภทนี้ได้แล้ว ซึ้งนิทรรศการที่ผู้เขียนจะกล่าวถึงในครั้งนี้ก็คือ นิทรรศการออนไลน์

 ดังรูปตัวอย่างที่นำมาลงนี้ ผู้เขียนได้เข้าชมนิทรรศการเกี่ยวกับ วันพ่อ ซึ่งผู้จัดทำนิทรรศการนี้คือ หอสมุด มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขต ศรีราชา ซึ่งทางหอสมุดนั้นได้จัดทำนิทรรศการหลากหลายเรื่องให้ผู้สนใจได้เข้าชม อาทิ 
นิทรรศการวันปิยมหาราช จะเป็นเรื่องราวเกี่ยวประวัติของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 หรือที่ใครอีกหลายคนจะรู้จักในพระนาม "สมเด็จพระปิยมหาราช หรือ พระพุทธเจ้าหลวง" ซึ่งภายในนิทรรศการออนไลน์นี้จะกล่าวถึงพระราชกรณียกิจต่างๆของพระองค์ไม่ว่าจะเป็นการเลิกทาส การเสด็จประพาสต่างประเทศ
การริเริ่มกิจการต่างๆภายในประเทศไทย เหล่านี้จะสามารถพบได้ในนิทรรศการออนไลน์เรื่อง 
วันปิยมหาราช

วันคล้ายวันพระราชสมภพ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
เป็นนิทรรศการที่บอกถึงพระราชประวัติของสมเด็จพระเทพฯ และกล่าวถึงพระอัจฉริยภาพด้านต่างๆของพระองค์






นิทรรศการวันพืชมงคล กล่าวถึงความเป็นมาของวันพืชมงคล ความสำคัญ รวมถึงรายละเอียดต่างๆในการทำพิธีพืชมงคล ซึ่งเป็นพิธีที่สำคัญมากพิธีหนึ่งสำหรับประเทศที่มีเกษตรกรเป็นหนึ่งในผู้ขับเคลื่อนประเทศ






ดั่งที่ได้ยกตัวอย่างนิทรรศการบางส่วนให้ผู้อ่านได้เห็นกันแล้ว แต่ผู้เขียนนั้นก็อยากให้ผู้อ่านได้ลองไปค้นหานิทรรศการจากเเหล่องอื่นๆได้ศึกษานอกจากของที่ผู้เขียนได้กล่าวมา เพราะจากที่ผู้เขียนได้เข้าไปศึกษาเกี่ยวกับนิทรรศการออนไลน์นั้นพบว่า มีนิทรรศการออนไลน์มากมายทั้งของประเทศไทยและต่างประเทศ บางอันเป็นของเอกชนทำ บางอันเป็นของรัฐ บางอันก็เป็นของพิพิธภัณฑ์ต่างๆทำขึ้นเพื่อให้ผู้สนใจได้เยี่ยมชมก่อนตัดสินใจจะไปเยี่ยมชม ซึ่งนิทรรศการที่ผู้เขียนนำมาให้ชมในวันนี้นั้น ก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียให้ผู้อ่านเห็น อย่างเช่น ข้อดีของนิทรรศการวันพืชมงคลนั้นคือมีความละเอียดในส่วนของข้อมูลและเนื้อหา แต่ว่ามีรูปภาพน้อยและเมื่อมีข้อมูลเยอะเกินไปก็ทำให้น่าเบื่อ อาจทำให้ผู้ที่สนใจเกิดความเบื่อหน่ายก่อนที่จะได้อ่าน เหล่านี้ก็คือสิ่งที่เราจะต้องตระหนักหากท่านผู้อ่านท่านใดเกิดสนใจอยากจะสร้างนิทรรศการออนไลน์ของตัวเองก็ควรจะต้องศึกษาและเข้าใจถึงหลักในการจัดนิทรรศการเบื้อต้นด้วยนะครับ ไม่ใช่ว่าเราเพียงแต่นำข้อมูลและเรื่องราวต่างๆมาบรรยายต่อๆกันประกอบด้วยภาพสลับกับเนื้อหา แต่นิทรรศการนั้นเราต้องคำนึงด้วยว่า ผู้อ่านจะสนใจเนื้อหาเพราะอะไร ทำอย่างไรให้เกิดความน่าสนใจ และเราสามารถสร้างลูกเล่นใดให้กับงานของเราได้ ซึ่งเเนวทางและวิธีการจัดนิทรรศการเหล่านี้ผู้เขียนก็จะขอเขียนให้ผู้อ่านศึกษาอีกครั้งในบล็อคถัดไปนะครับ หากท่านผู้อ่านท่านใดสนใจเข้าไปเยี่ยมชม นิทรรศการออนไลน์ที่ผู้เขียนนำมาลงในวันนี้นั้นก็สามารถเข้าได้ที
http://lib.vit.src.ku.ac.th/main/exhibition.asp
หรือสนใจนิทรรศการออนไลน์อื่นๆก็สามารถค้นหาใดด้วยตัวเองได้เลยครับ

หนึ่งประสบการณ์ที่น่าจดจำ

                   สวัสดีท่านผู้อ่านทุกท่านนะครับ หลังจากที่ห่างหายไปจากการเขียนบล็อค เกือบหนึ่งเทอมการศึกษา กลับมาในครั้งนี้ผู้เขียนก็มีเรื่องราวดีๆมากมาย มาเล่าให้ผู้อ่านฟังมากมายเลยเชียวละครับ
ก่อนอื่นเลย ผู้อ่านท่านใหม่หรือผู้อ่านบางท่านอาจจะยังไม่ทราบว่าผู้เขียนนั้นเป็นนิสิตในรั้วมหาวิทยาลัยชื่อดังย่านอโศก หรือก็คือ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปัจจุบันผู้เขียนนั้นเป็นนิสิตชั้นปีที่ 4 ของมหาวิทยาลัยชั้นนำด้านการศึกษาเเห่งนี้ ซึ่งตัวผู้เขียนเองนั้นก็มีโอกาศได้เรียนในสายการศึกษา ซึ่งในการเรียนในสายการศึกษาของผู้เขียนนั้นออกจะเป็นความพิเศษอยู่ซักเล็กน้อย เพราะเป็นสายเทคโนโลยีการศึกษา ซึ่งอาจจะเรียกได้ว่าเป็นสายที่รวมความรู้สหวิชา ทั้งการสอนหนังสือ การสร้างสื่อทั้งเขียนหนังสือนิตยสารหรือไม่ว่าจะเป็นผลิตผลงานด้านเทคโนโลยีต่างๆ ซึ่งไม่นานมานี้ผู้เขียนก็ได้มีโอกาสจัดงานนิทรรศการครั้งเเรกในชีวิต เรียกได้ว่าการเรียนเอกนี้นั้นเป็นเหมือนการเเข่งขันไตรกีฬาที่มีกิจกรรมใหม่ๆมาให้ร่วมเล่นตลอดเวลาก็ว่าได้ และในเทอมนี้เนื่องจากการเรียนในรายวิชาการจัดนิทรรศการก็ทำให้ข้าพเจ้าได้ทำกิจกรรมหลายอย่างเกี่ยวกับนิทรรศการ ทั้งการศึกษาดูงานนอกสถานที่ การศึกษาการจัดนิทรรศการออนไลน์ และสุดท้ายคือการร่วมเเรงร่วมใจกันจัดนิทรรศการของตนเองขึ้น ซึ่งผู้เขียนจะขอเล่าในบล็อคนี้ และบล็อคต่อไปๆ

                    จากที่เกริ่นนำมาพอสมควรแแล้วผู้เขียนก็จะขอนำท่านผู้อ่านทุกท่านมาเยี่ยมสถานที่ศึกษาดูงานด้านนิทรรศการของผู้เขียนในเทอมนี้ นั้นก็คือ ศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษา ท้องฟ้าจำลองเอกมัย เรามาชมกันดีกว่าว่าท้องฟ้าจำลองเอกมัยนั้น เขามีอะไรน่าสนใจกันบ้าง

และเเน่นอนครับถ้าเรามาท้องฟ้าจำลองแล้วไม่ได้เข้าไปรับชมภาพยนต์เกี่ยวกับการกำเนิดโลกและดวงดาวเเล้วก็เรียกได้ว่าเรามาไม่ถึงท้องฟ้าจำลองเเน่นอนครับ ซึ่งที่เห็นนี้เป็นโดมฉายภาพยนต์ซึ่งภาพยนต์แต่ละเรื่องนั้นก็จะหมุนเวียนสับเปลี่ยนกันฉายให้ผู้เข้าชมได้รับความสนุกสนานเพลิดเพลินและความรู้ ซึ่งในหนึ่งวันนั้นจะเปิดรอบเข้าชมอยู่ที่ 4 รอบ ประกอบด้วยรอบเช้า 2 รอบ และรอบบ่าย 2 รอบ และในการไปในครั้งนี้เรื่องที่ฉายให้ผู้เขียนได้ดูนั้นก็คือเรื่อง อุกาบาต ถล่มโลก เป็นการฉายโดยเริ่มต้นนั้นจะเป็นการบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับดวงดาวต่างๆที่เราได้เห็นบนท้องฟ้าว่า ดาวแต่ดวงนั้นเมื่อประกอบเป็นกลุ่มดาวเเล้วกลายเป็นตัวเเทนของสิ่งใด ไม่ว่าจะเป็นดาวในกลุ่มจักรราศี ดาวประจำเมือง ดาวบอกทิศทาง และกลุ่มดวงดาวสำคัญๆของไทย ซึ่งเครื่องฉายดวงดาวนั้นก็เป็นเครื่องมือที่ค่อนข้างน่าสนใจมากเพราะเป็นเหมือนเครื่องฉายขนาดใหญ่ที่เเหงนหน้าขึ้นด้านบนเพดานห้อง ซึ่งเมื่อห้องปิดไฟจนมองไม่เห็นสิ่งใดแล้ว เเสงและสีที่ออกมานั้นเปรียบเสมือนกับผู้เขียนได้ขึ้นไปชมดาวต่างๆบนยอดเขาเลยก็ว่าได้ เเต่จะเเตกต่างตรงที่ว่าที่ท้องฟ้าจำลองนี้ มีพี่เจ้าหน้าที่ใจดีคอยบรรยายให้ความรู้ระหว่างการรับชมด้วย นอกจากได้รับความรู้แล้วเเอร์เย็นๆกับโซฟานุ่มๆก็สามารถพาให้เคลิ้มหลับไปได้โดยไม่รู้ตัวเช่นกัน ซึ่งผู้เขียนเองก็เเอบเผลอหลับไปบ้าง จนอดเสียดายไม่ได้ว่าพลาดช่วงน่าสนใจส่วนใดไปบ้าง


และนอกเหนือจากท้องฟ้าจำลองแล้วที่ศูนย์วิทยาศาสตร์เห่งนี้ยังมีอาคารวิทยาศาสตร์ที่เป็นเเหล่งความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ต่างๆมากมายให้ได้ศึกษา

 ซึ่งผู้เข้าชมขาประจำของศูนย์วิทยาศาสตร์เเห่งนี้นั้นก็คือ เยาวชนและนักเรียนจากโรงเรียนต่างๆทั้งในกรุงเทพและจังหวัดใกล้เคียง ซึ่งในวันที่ผู้เขียนได้ไปดูงานนั้นก็มีน้องๆจากโรงเรียนหลายโรงเรียนได้มาทัศนศึกษากันอย่างล้นหลามเลยทีเดียว 

 ความน่าสนใจของศูนย์วิทยาศาสตร์เเห่งนี้นั้นนอกเหนือจากการเป็นเเหล่งความรู้ที่น่าสนใจแล้วที่นี้ยังเป็นสถานที่รวบรวมของเล่นต่างๆให้เด็กๆได้ฝึกทักษะทางร่างกายและสติปัญญาอีกด้วยดังจะเห็นว่ามีพ่อเเม่ผู้ปกครองนำบุตรหลานมากมายมาพัฒนาศักยภาพร่างกายที่นี่ ทั้งการเล่นของเล่น การทดลองทางวิทยาศาสตร์ และการชมนิทรรศการในส่วนต่างๆ

 ส่วนจัดเเสดงในอาคาร 2 นีสามารถเเบ่งคร่าวๆได้สามชั้น ดังนี้

ชั้นที่ 1 เป็นส่วนของเล่นพัฒนาศักยภาพ มีทั้งของเล่นและโซนจัดเเสดงให้ความรู้ทั้งเรื่องของเเรง เรื่องของพลังงานไฟฟ้า และเรื่องของการใช้ประโยชน์จากเเรงโน้มถ่วง 
ซึ่งโซนนี้นั้นจะได้รับความสนใจจากเด็กๆเป็นจำนวนมาก







ชั้นที่ 2 เป็นโซนจัดแสดงนิทรรศการความรู้เกี่ยวกับเรื่องของ คณิตศาสตร์ เวลา และวิวัฒนาการของมนุษย์ในเรื่องของเวลา 
เนื่องจากโซนนี้นั้นเป็นโซนเกี่ยวกับความรู้และไม่ค่อยมีกิจกรรมทำให้ไม่ค่อยมีผู้เข้าชมสักเท่าไร แต่ก็มีความน่าสนใจในส่วนของเนื้อหาที่มองข้ามไม่ได้
ชั้นที่ 3 ในโซนนี้จะเป็นการจัดเเสดงเกี่ยวกับวิวัฒนาการของมนุษย์ ซึ่งจะมีวิดีทัศน์เปิดบรรยายให้ผู้สนใจได้นั่งชมด้วย อีกทั้งในโซนนี้ยังมีหุ่นจำลองมนุษย์ยุคดึกดำบรรพ์และวิวัฒนาการขั้นต่างๆของมนุษย์ซึ่งก็ได้รับความสนใจเป็นอย่างมากจากผู้เข้าชม






เป็นอย่างไรกันบ้างครั้งกับเรื่องราวของศูนย์วิทยาศาสตร์และท้องฟ้าจำลองเอกมัยที่ผู้เขียน ได้นำเสนอในวันนี้น่าสนใจใช้ได้เลยใช่ไหมละครับ ถ้าผู้อ่านท่านใดสนใจจะเดินทางไปท้องฟ้าจำลองเอกมัยกันละก็การเดินทางง่ายๆเลยก็คือการโดยสารรถไฟฟ้า BTS ลงสถานีเอกมัย ประตูสอง เเละเดินตรงต่อไปเรื่อยๆจะเจอ ศูนย์วิทยาศาสตร์และท้องฟ้าจำลองเอกมัย และในวันนี้ผู้เขียนก็ต้องขอลาท่านผู้อ่านไปก่อน พบกันในบล็อคหน้า เรามาดูกันว่าผู้เขียนจะนำเสนอเรื่องราวใดเกี่ยวกับการจัดนิทรรศการ พบกันครั้งหน้านะครับ สวัสดีครับ




วันอังคารที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2556

นิตยสารหนึ่งเล่มใครว่าทำง่ายๆ

  

บทความนี้ผู้เขียนขอไม่อารัมภบทเยอะนะครับ เพราะเป็นเหมือนบทความบันทึกเกี่ยวกับการทำหนังสือนิตยสารที่ผ่านมา

ในการทำนิตยสารเล่มหนึ่งๆขึ้นมาได้นั้นประกอบด้วยเรื่องราวและขั้นตอนมากมาย ตั้งแต่ การคิดเรื่องที่เราจะทำ การคิดว่านิตยสารที่เราจะทำนั้นใครจะมาอ่านบ้าง คิดว่านิตยสารของเราจะต้องมีจุดเด่นอะไรที่น่าสนใจ คิดเเม้กระทั่งว่าชื่อเรื่องที่จะตั้งนั้นมีความสอดคล้องหรือสื่อถึงเนื้อหาได้มากน้อยเพียงใด
เหล่านี้คือเรื่องราวที่เราจะต้องคิดเมื่อทำนิตยสารขึ้นมาเล่มหนึ่ง เเละเมื่อมีการคิดแล้วย่อมมีสิ่งที่ต้องทำ สิ่งที่ต้องทำก็ตั้งแต่การประชุมวางเเผน การวางโครงเรื่องการคิดวิเคราะห์ว่าเราจะทำอะไร จะสัมภาษณ์ใคร จะนำเสนออะไร เเละเมื่อมีปัญหาคุณจะเเก้ไขอย่างไร ปัญหาที่ผู้เขียนพบในการทำงานในครั้งนี้เรียดว่ามีมากมายก่ายกองทั้งกับบุคคลที่ร่วมงาน ทั้งกับชิ้นงาน หรือกับกระบวนการ แต่ปัญหาต่างๆที่พบนั้นก็เหมือนบททดสอบเรา นิตยสารครั้งนี้เราทำจริงแต่เราไม่ได้นำเสนอใคร เราไม่ได้จำเป็นต้องคิดหวังผลกำไรจากมัน ความกดดันย่อมมีน้อยกว่า ปัญหาต่างๆที่พบจึงเป็นเหมือนประสบการณ์ที่ทำให้เราได้เห็นโลกในมุมมองใหม่ๆ ยืนยันความคิดในเรื่องที่เราคิด และเปลี่ยนเเปลงความคิดในเรื่องที่เราคาดไม่ถึง ปัญหาทุกปัญหาที่ผู้เขียนเจอนั้นบอกตามตรงว่าบางปัญหาเป็นปัญหาที่ไม่ควรจะเกิดเพราะเป็นปัญหาของบุคคล ความรับผิดชอบ และการมองโลกของเเต่ละคน แต่เมื่อปัญหานั้นๆเกิดขึ้นซ้ำๆและไม่มีทีท่าว่าเจ้าของปัญหาจะปรับปรุงเเก้ไข  นี้จึงเป็นปัญหาที่ผู้เขียนไม่สามารถเเก้ไขได้ ทำได้เเต่เพียงหวังให้มันผ่านพ้นไป งานชิ้นนี้ควรจะเป็นงานที่ผู้เขียนมีความสุขและสนุกกับมันเพราะคิดว่าเป็นงานที่เหมาะกับตัวเอง เเต่เมื่องานที่ทำไม่สร้างความสนุกให้อย่างที่คิดและยังต้องพบเจอเรื่องต่างๆที่บั่นทอนอารมณ์ งานชิ้นนี้จึงเป็นเหมือนเเค่บทเรียนที่ผ่านเข้ามาเพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับชีวิตและการทำงาน เเต่ก็ใช่ว่าการทำนิตยสารครั้งนี้จะมีแต่เรื่องราวเชิงลบไปเสียหมด เพราะการทำงานครั้งนี้ก็ได้สร้างมิตรภาพใหม่ๆให้กับผู้เขียน ได้สอนให้ผู้เขียนได้เรียนรู้ถึงวิธีการ กระบวนการทำงานขั้นตอนต่างๆ สอนให้ผู้เขียนทดลองและได้ใช้เครื่องมือโปรเเกรมที่ตนไม่ถนัด เหล่านี้คือสิ่งที่ผู้เขียนได้รับจากการทำงาน

      การทำงานสอนให้เรารู้จักมองโลกให้ได้ ทั้ง 2 ด้าน และสอนให้เรารู้จักทำใจยอมรับเเละเเก้ไขสิ่งที่ตนเองผิด ฝึกให้เราได้ทราบว่าบางครั้งการที่เราทำอะไรเเต่เพียงเบื้องหลังโดยไม่คิดออกหน้าก็อาจนำแต่ความสบายใจมาให้กับเรา แต่ไม่ได้นำหน้าตามาให้กับเรา ซึ้งในข้อนี้ผู้เขียนคิดว่าเป็นสิ่งที่ดี เพราะถ้าเราทำงานอย่างสบายใจเราจะสามารถทำงานที่ต้องการออกมาได้อย่างดีที่สุด แต่หากเมื่อไรที่เราต้องทำงานเพราะความคาดหวังของคนรอบข้าง งานชิ้นนั้นจะเป็นงานที่เหมือนถูกบีบคั้นออกมา เปรียบก็คงเหมือนกับการบีบมะนาวลูกหนึ่ง ถ้าเราบีบด้วยความพอเหมาะรสชาติที่ออกมาก็จะเปรี้ยวอย่างพอดีและกลมกล่อม แต่ถ้าเราบีบเเรงเกินไปรสชาติที่ออกมาก็จะขมจะไม่น่ารับประทาน นี่ก็เป็นอีกหนึ่งความรู้ที่ได้จากการทำงานครั้งนี้

นิตยสารที่ผู้เขียนทำนั้นเป็นนิตยสารเกี่ยวกับอารมณ์ของมนุษย์ ซึ่งได้ยกตัวอย่างอารมณ์ มา 4 อารมณ์นั้นก็คือ รัก โลภ โกรธ หลง ซึ่งเป็นอารมณ์พื้นฐานของทุกคน
  • รัก คือ อารมณ์เริ่มต้นของทุกสิ่งทุกอย่าง
  • โลภ คือ อารมณ์ที่สองที่ตามมาเมื่อเราประสบความสำเร็จดังที่คาดหวัง
  • โกรธ คือ อารมณ์เมื่อสิ่งที่เราคาดหวังต่อไปไม่ประสบความสำเร็จ
  • หลง คือ อารมณ์ที่เรานำมาปลอบใจกับความผิดหวังของตัวเอง
นี้คือนิยามของอารมณ์ 4 อารมณ์ในมนุษย์ที่ผู้เขียนสรุปได้จากการทำนิตยสารในครั้งนี้
 
  ซึ่งการทำนิตยสารในครั้งนี้ ผู้เขียนได้รับผิดชอบในส่วนของเนื้อหา บทความต่างๆในนิตยสาร การตรวจตัวอักษรและการจัดวางรูปเล่มบางส่วน การจัดเรียงหน้าหนังสือ สิ่งต่างๆเหล่านี้ล้วนเป็นประสบการณ์ใหม่ๆที่น่าจดจำสำหรับผู้เขียนเป็นอย่างยิ่ง
โดยผู้เขียนก็แอบภูมิใจกับผลงานที่ได้ร่วมเเรงร่วมใจกันทำกับเพื่อนๆชิ้นนี้เป็นอย่างมาก เพราะถึงเเม้จะมีอุปสรรคและปัญหาต่างๆมากมายเท่าไรสมาชิกในกลุ่มก็ร่วมกันฟันฝ่ามาด้วยกันได้อย่างสวยงามในท้ายที่สุด

  ผู้เขียนต้องยอมรับว่าในการทำงานครั้งนี้นั้นตัวผู้เขียนเองก็เป็นหนึ่งในปัญหาที่เกิดขึ้นเพราะปัจจัยต่างๆมากมายที่บีบคั้น ซึ่งก็ต้องถือว่าปัญหาในครั้งนี้ถือเป็นอีกหนึ่งบทเรียนที่ได้รับเมื่อเราต้องฝึกในการเเบ่งเวลาให้เหมาะสมกับเรื่องส่วนตัวและเรื่องส่วนรวม ซึ่่งเป็นเรื่องที่ต้องกลับไปปรับปรุงเเก้ไขในอนาคต อย่างไรก็ดีในการทำงานครั้งนี้ก็คงจะไม่สามารถสำเร็จได้ถ้าปราศจากคำเเนะนำติชมจากอาจารย์ผู้สอนที่ให้กำลังใจ และเเนวทางปฏิบัติต่างๆมากมาย บางเเนวทางในตอนเเรกผู้เขียนยอมรับเลยว่าคิดแตกต่างและต่อต้านความคิดของอาจารย์อยู่มาก แต่เมื่อได้ลองปฏิบัติตามและเห็นผลที่เกิดขึ้นก็ได้แต่นึกขอโทษอาจารย์อยู่ในใจว่าหากลดความเชื่อส่วนตนที่มากเกินไปลงเเละยอมรับวิธีการที่ผู้มีประสบการณ์มอบให้ตั้งแต่ต้น การทำงานในครั้งนี้คงจะราบรื่นมากกว่านี้เป็นแน่ สุดท้ายนี้ก็ต้องขอขอบคุณเพื่อนๆ และปัญหาทุกปัญหาที่เข้ามาและช่วยสร้างประสบการณ์ความคิดต่างๆให้กับผู้เขียนหวังว่าในอนาคตผู้เขียนเองจะสามารถปรับปรุงตัวเองและสามารถสร้างสรรค์ผลงานที่ดีจริงๆออกมาได้ในที่สุด สวัสดีครับ

รอยยิ้มก้องโลก

สวัสดีท่านผู้อ่านทุกท่านนะครับ วันนี้ผู้เขียนได้กลับมาอีกครั้งหนึ่งหลังจากที่ห่างหายจาก บล็อกไปนานกว่าสองเดือน ว้าวววว อย่าได้ตกใจนะครับว่าผู้เขียนหายไปไหน ผู้เขียนได้รับโอกาสในการเป็นนักเขียนให้กับนิตยสารที่ผลิตเองเล่มหนึ่ง แต่อย่าพึ่งตื่นเต้นไปครับเพราะในครั้งนี้ผู้เขียนยังไม่ได้จะมานำเสนอถึงนิตยสารเล่มดังกล่าว แต่ในครั้งนี้ผู้เขียนจะขอนำเสนอเกี่ยวกับเรื่องราวหนึ่ง ของภาพวาดที่ได้ชื่อว่าเป็นปริศนาชิ้นสำคัญชิ้นหนึ่งของโลกนี้ ขอเชิญพบกับรอยยิ้มปริศนาของ 
 ลาโชกงด์ หรือ โมนาลิซา

 โมนาลิซา(Mona Lisa) หรือ ลาโชกงด์ (La Gioconda, La Joconde) คือภาพวาดสีน้ำมัน สูง 77 เซนติเมตร กว้าง 53 เซนติเมตร ซึ่งวาดโดย เลโอนาร์โด ดา วินชี ในคริสต์ศตวรรษที่ 16 เป็นภาพที่ทั่วโลกรู้จักกันดีภาพหนึ่ง ในฐานะสุภาพสตรีที่มี รอยยิ้มอันเป็นปริศนา ที่ไม่รู้ว่าเธอจะยิ้ม หัวเราะ หรือร้องไห้กันแน่ ปัจจุบันอยู่ในความครอบครองของรัฐบาลฝรั่งเศส และเก็บรักษาอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส 


     กว่า 500 ปีมากแล้วกับคำถามที่ว่า โมนา ลิซ่า (Mona Lisa) นั่นเป็นใคร ซึ่งยังเป็นปริศนา และยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจนและแน่นอน ว่าบุคคลในภาพเขียนของ ลีโอนาร์ โด ดา วินซี่ (Leonardo da vin Ci ) คือใครกันแน่

เชื่อหรือไม่ครับว่าภาพวาดภาพนี้ ได้มีคนสันนิษฐาน ว่าเป็นบุคคลต่างๆไว้มากมายเนื่องจาก ผู้หญิงในภาพดังกล่าวไม่ใช่บุคคลที่มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์ หรือเป็นที่รู้จัก แต่ก็ได้มีคนรุ่นหลังหลายคนที่ได้ตั้งขอสันนิษฐานต่างๆไว้เกี่ยวกับเธอ เช่น

         
          โมนา ลิซ่า ก็คือภรรยาของ ฟรานเชสโก เดล จิโอกอนโด ซึ่งเป็นพ่อค้าไหมที่มั่งคั่งแห่ง เมืองฟลอเรนซ์ ขณะที่ ดาวินซี่ เขียนภาพนี้ซึ่งได้ใช้เวลานานถึง 4 ปี เขาได้ไปว่าจ้าง นักร้อง นักดนตรี และตัวตลกมาให้ความบันเทิงแก่หญิงงามผู้เป็นแบบของ ภาพเขียน เพื่อให้เธอมีรอยยิ้มที่ปราศจากความเศร้าหมอง อย่างไรก็ตามจากคำ บรรยายของ วาซารี ก็เป็นเพียงข้อมูลจากผู้ที่ไม่เคยเห็นภาพเขียนนี้ของ ลีโอนาร์โด แต่อย่างใด  

       หรืออีกกระเเสหนึ่งบอกว่าเเท้ที่จริงแล้วบุคคลในภาพนั้นไม่ใช่ผู้หญิงดั่งที่ทุกคนคิดแต่เป็นภาพของเด็กหนุ่มรูปงามคนหนึ่งที่เเต่งกายเป็นผู้หญิง ซึ่งประจวบเหมาะว่า มีข่าวลือว่าจิตกรคนดังของเรานั้นเป็น บุคคลที่รักร่วมเพศ ทฤษฎีนี้จึงยังไม่ถูกมองว่าไร้สาระไป หรือเเม้กระทั่งมีคนสันนิษฐานต่อว่าความจริงแล้ว ภาพวาดดังกล่าวนั้นคือตัว  ลีโอนาร์ โด ดา วินซี่ เองนั้นละที่เเอบจำเเลงเเปลงกายตนเองเป็นผู้หญิง 

ช่างเเตกต่างกันอย่างมากเลยนะครับสำหรับสองข้อสันนิษฐานที่ผู้เขียนได้เห็นมา แต่อย่างไรก็ตามผู้เขียนคิดว่าไม่ว่าบุคคลในภาพนี้จะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย จะเป็นบุคคลที่มีตัวตนหรือไม่ แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่สามารถถกเถียงได้เลยนั้นก็คือ ภาพวาดภาพนี้คือภาพวาดที่มีความสวยงามมากที่สุดในโลกภาพหนึ่ง สวยงามจนถึงขั้นมีคนเคยขโมย ภาพวาดนี้ไปเเอบไว้ถึง 2 ปี กว่ารัฐบาล ฝรั่งเศส จะหาทางช่วยเหลือเธอออกมาได้ หากจะให้ผู้เขียนบอกว่าในชีวิตนี้หากไม่ได้ไปพบเห็นรอยยิ้มของเธอที่พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ สักครั้งในชีวิต ผู้เขียนคงจะเสียดายเป็นอย่างมาก เพราะไม่ว่าใครก็คงอยากจะได้ไปเห็นใบหน้าและรอยยิ้มที่ชื่อว่า เป็นปริศาที่ไม่มีวันไขออก สักครั้งในชีวิตครับ

หากท่านผู้อ่านท่านได้ เคยหรือมีโอกาสที่ได้ไปยลโฉมสาวงามคนนี้ก่อนผู้เขียนก็ช่วยฝากบอกเธอหน่อยนะครับว่า ขอเวลาผู้เขียนเก็บหอมรอมริบ อีกสัก ห้าปีสิบปี แล้วจะไปขอยืนจ้องหน้าเธอสักครึ่งวัน อย่พึ่งให้หล่อนหนีไปไหนเสียก่อนละ 

       ในวันนี้ก็ต้องขออภัยท่านผู้อ่านด้วย ถ้าเนื้อหาหรือบทความที่นำเสนอในวันนี้ออกจะมีสาระน้อยไปสักนิดหนึ่ง แต่ผู้เขียนขอสัญานะครับว่าจะหมั่นนำข้อมูลและเรื่องราวที่น่าสนใจ มานำเสนอให้ผู้อ่านได้อ่านกันอีกเเน่นอนครับ