วันอังคารที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2556

นิตยสารหนึ่งเล่มใครว่าทำง่ายๆ

  

บทความนี้ผู้เขียนขอไม่อารัมภบทเยอะนะครับ เพราะเป็นเหมือนบทความบันทึกเกี่ยวกับการทำหนังสือนิตยสารที่ผ่านมา

ในการทำนิตยสารเล่มหนึ่งๆขึ้นมาได้นั้นประกอบด้วยเรื่องราวและขั้นตอนมากมาย ตั้งแต่ การคิดเรื่องที่เราจะทำ การคิดว่านิตยสารที่เราจะทำนั้นใครจะมาอ่านบ้าง คิดว่านิตยสารของเราจะต้องมีจุดเด่นอะไรที่น่าสนใจ คิดเเม้กระทั่งว่าชื่อเรื่องที่จะตั้งนั้นมีความสอดคล้องหรือสื่อถึงเนื้อหาได้มากน้อยเพียงใด
เหล่านี้คือเรื่องราวที่เราจะต้องคิดเมื่อทำนิตยสารขึ้นมาเล่มหนึ่ง เเละเมื่อมีการคิดแล้วย่อมมีสิ่งที่ต้องทำ สิ่งที่ต้องทำก็ตั้งแต่การประชุมวางเเผน การวางโครงเรื่องการคิดวิเคราะห์ว่าเราจะทำอะไร จะสัมภาษณ์ใคร จะนำเสนออะไร เเละเมื่อมีปัญหาคุณจะเเก้ไขอย่างไร ปัญหาที่ผู้เขียนพบในการทำงานในครั้งนี้เรียดว่ามีมากมายก่ายกองทั้งกับบุคคลที่ร่วมงาน ทั้งกับชิ้นงาน หรือกับกระบวนการ แต่ปัญหาต่างๆที่พบนั้นก็เหมือนบททดสอบเรา นิตยสารครั้งนี้เราทำจริงแต่เราไม่ได้นำเสนอใคร เราไม่ได้จำเป็นต้องคิดหวังผลกำไรจากมัน ความกดดันย่อมมีน้อยกว่า ปัญหาต่างๆที่พบจึงเป็นเหมือนประสบการณ์ที่ทำให้เราได้เห็นโลกในมุมมองใหม่ๆ ยืนยันความคิดในเรื่องที่เราคิด และเปลี่ยนเเปลงความคิดในเรื่องที่เราคาดไม่ถึง ปัญหาทุกปัญหาที่ผู้เขียนเจอนั้นบอกตามตรงว่าบางปัญหาเป็นปัญหาที่ไม่ควรจะเกิดเพราะเป็นปัญหาของบุคคล ความรับผิดชอบ และการมองโลกของเเต่ละคน แต่เมื่อปัญหานั้นๆเกิดขึ้นซ้ำๆและไม่มีทีท่าว่าเจ้าของปัญหาจะปรับปรุงเเก้ไข  นี้จึงเป็นปัญหาที่ผู้เขียนไม่สามารถเเก้ไขได้ ทำได้เเต่เพียงหวังให้มันผ่านพ้นไป งานชิ้นนี้ควรจะเป็นงานที่ผู้เขียนมีความสุขและสนุกกับมันเพราะคิดว่าเป็นงานที่เหมาะกับตัวเอง เเต่เมื่องานที่ทำไม่สร้างความสนุกให้อย่างที่คิดและยังต้องพบเจอเรื่องต่างๆที่บั่นทอนอารมณ์ งานชิ้นนี้จึงเป็นเหมือนเเค่บทเรียนที่ผ่านเข้ามาเพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับชีวิตและการทำงาน เเต่ก็ใช่ว่าการทำนิตยสารครั้งนี้จะมีแต่เรื่องราวเชิงลบไปเสียหมด เพราะการทำงานครั้งนี้ก็ได้สร้างมิตรภาพใหม่ๆให้กับผู้เขียน ได้สอนให้ผู้เขียนได้เรียนรู้ถึงวิธีการ กระบวนการทำงานขั้นตอนต่างๆ สอนให้ผู้เขียนทดลองและได้ใช้เครื่องมือโปรเเกรมที่ตนไม่ถนัด เหล่านี้คือสิ่งที่ผู้เขียนได้รับจากการทำงาน

      การทำงานสอนให้เรารู้จักมองโลกให้ได้ ทั้ง 2 ด้าน และสอนให้เรารู้จักทำใจยอมรับเเละเเก้ไขสิ่งที่ตนเองผิด ฝึกให้เราได้ทราบว่าบางครั้งการที่เราทำอะไรเเต่เพียงเบื้องหลังโดยไม่คิดออกหน้าก็อาจนำแต่ความสบายใจมาให้กับเรา แต่ไม่ได้นำหน้าตามาให้กับเรา ซึ้งในข้อนี้ผู้เขียนคิดว่าเป็นสิ่งที่ดี เพราะถ้าเราทำงานอย่างสบายใจเราจะสามารถทำงานที่ต้องการออกมาได้อย่างดีที่สุด แต่หากเมื่อไรที่เราต้องทำงานเพราะความคาดหวังของคนรอบข้าง งานชิ้นนั้นจะเป็นงานที่เหมือนถูกบีบคั้นออกมา เปรียบก็คงเหมือนกับการบีบมะนาวลูกหนึ่ง ถ้าเราบีบด้วยความพอเหมาะรสชาติที่ออกมาก็จะเปรี้ยวอย่างพอดีและกลมกล่อม แต่ถ้าเราบีบเเรงเกินไปรสชาติที่ออกมาก็จะขมจะไม่น่ารับประทาน นี่ก็เป็นอีกหนึ่งความรู้ที่ได้จากการทำงานครั้งนี้

นิตยสารที่ผู้เขียนทำนั้นเป็นนิตยสารเกี่ยวกับอารมณ์ของมนุษย์ ซึ่งได้ยกตัวอย่างอารมณ์ มา 4 อารมณ์นั้นก็คือ รัก โลภ โกรธ หลง ซึ่งเป็นอารมณ์พื้นฐานของทุกคน
  • รัก คือ อารมณ์เริ่มต้นของทุกสิ่งทุกอย่าง
  • โลภ คือ อารมณ์ที่สองที่ตามมาเมื่อเราประสบความสำเร็จดังที่คาดหวัง
  • โกรธ คือ อารมณ์เมื่อสิ่งที่เราคาดหวังต่อไปไม่ประสบความสำเร็จ
  • หลง คือ อารมณ์ที่เรานำมาปลอบใจกับความผิดหวังของตัวเอง
นี้คือนิยามของอารมณ์ 4 อารมณ์ในมนุษย์ที่ผู้เขียนสรุปได้จากการทำนิตยสารในครั้งนี้
 
  ซึ่งการทำนิตยสารในครั้งนี้ ผู้เขียนได้รับผิดชอบในส่วนของเนื้อหา บทความต่างๆในนิตยสาร การตรวจตัวอักษรและการจัดวางรูปเล่มบางส่วน การจัดเรียงหน้าหนังสือ สิ่งต่างๆเหล่านี้ล้วนเป็นประสบการณ์ใหม่ๆที่น่าจดจำสำหรับผู้เขียนเป็นอย่างยิ่ง
โดยผู้เขียนก็แอบภูมิใจกับผลงานที่ได้ร่วมเเรงร่วมใจกันทำกับเพื่อนๆชิ้นนี้เป็นอย่างมาก เพราะถึงเเม้จะมีอุปสรรคและปัญหาต่างๆมากมายเท่าไรสมาชิกในกลุ่มก็ร่วมกันฟันฝ่ามาด้วยกันได้อย่างสวยงามในท้ายที่สุด

  ผู้เขียนต้องยอมรับว่าในการทำงานครั้งนี้นั้นตัวผู้เขียนเองก็เป็นหนึ่งในปัญหาที่เกิดขึ้นเพราะปัจจัยต่างๆมากมายที่บีบคั้น ซึ่งก็ต้องถือว่าปัญหาในครั้งนี้ถือเป็นอีกหนึ่งบทเรียนที่ได้รับเมื่อเราต้องฝึกในการเเบ่งเวลาให้เหมาะสมกับเรื่องส่วนตัวและเรื่องส่วนรวม ซึ่่งเป็นเรื่องที่ต้องกลับไปปรับปรุงเเก้ไขในอนาคต อย่างไรก็ดีในการทำงานครั้งนี้ก็คงจะไม่สามารถสำเร็จได้ถ้าปราศจากคำเเนะนำติชมจากอาจารย์ผู้สอนที่ให้กำลังใจ และเเนวทางปฏิบัติต่างๆมากมาย บางเเนวทางในตอนเเรกผู้เขียนยอมรับเลยว่าคิดแตกต่างและต่อต้านความคิดของอาจารย์อยู่มาก แต่เมื่อได้ลองปฏิบัติตามและเห็นผลที่เกิดขึ้นก็ได้แต่นึกขอโทษอาจารย์อยู่ในใจว่าหากลดความเชื่อส่วนตนที่มากเกินไปลงเเละยอมรับวิธีการที่ผู้มีประสบการณ์มอบให้ตั้งแต่ต้น การทำงานในครั้งนี้คงจะราบรื่นมากกว่านี้เป็นแน่ สุดท้ายนี้ก็ต้องขอขอบคุณเพื่อนๆ และปัญหาทุกปัญหาที่เข้ามาและช่วยสร้างประสบการณ์ความคิดต่างๆให้กับผู้เขียนหวังว่าในอนาคตผู้เขียนเองจะสามารถปรับปรุงตัวเองและสามารถสร้างสรรค์ผลงานที่ดีจริงๆออกมาได้ในที่สุด สวัสดีครับ

รอยยิ้มก้องโลก

สวัสดีท่านผู้อ่านทุกท่านนะครับ วันนี้ผู้เขียนได้กลับมาอีกครั้งหนึ่งหลังจากที่ห่างหายจาก บล็อกไปนานกว่าสองเดือน ว้าวววว อย่าได้ตกใจนะครับว่าผู้เขียนหายไปไหน ผู้เขียนได้รับโอกาสในการเป็นนักเขียนให้กับนิตยสารที่ผลิตเองเล่มหนึ่ง แต่อย่าพึ่งตื่นเต้นไปครับเพราะในครั้งนี้ผู้เขียนยังไม่ได้จะมานำเสนอถึงนิตยสารเล่มดังกล่าว แต่ในครั้งนี้ผู้เขียนจะขอนำเสนอเกี่ยวกับเรื่องราวหนึ่ง ของภาพวาดที่ได้ชื่อว่าเป็นปริศนาชิ้นสำคัญชิ้นหนึ่งของโลกนี้ ขอเชิญพบกับรอยยิ้มปริศนาของ 
 ลาโชกงด์ หรือ โมนาลิซา

 โมนาลิซา(Mona Lisa) หรือ ลาโชกงด์ (La Gioconda, La Joconde) คือภาพวาดสีน้ำมัน สูง 77 เซนติเมตร กว้าง 53 เซนติเมตร ซึ่งวาดโดย เลโอนาร์โด ดา วินชี ในคริสต์ศตวรรษที่ 16 เป็นภาพที่ทั่วโลกรู้จักกันดีภาพหนึ่ง ในฐานะสุภาพสตรีที่มี รอยยิ้มอันเป็นปริศนา ที่ไม่รู้ว่าเธอจะยิ้ม หัวเราะ หรือร้องไห้กันแน่ ปัจจุบันอยู่ในความครอบครองของรัฐบาลฝรั่งเศส และเก็บรักษาอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส 


     กว่า 500 ปีมากแล้วกับคำถามที่ว่า โมนา ลิซ่า (Mona Lisa) นั่นเป็นใคร ซึ่งยังเป็นปริศนา และยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจนและแน่นอน ว่าบุคคลในภาพเขียนของ ลีโอนาร์ โด ดา วินซี่ (Leonardo da vin Ci ) คือใครกันแน่

เชื่อหรือไม่ครับว่าภาพวาดภาพนี้ ได้มีคนสันนิษฐาน ว่าเป็นบุคคลต่างๆไว้มากมายเนื่องจาก ผู้หญิงในภาพดังกล่าวไม่ใช่บุคคลที่มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์ หรือเป็นที่รู้จัก แต่ก็ได้มีคนรุ่นหลังหลายคนที่ได้ตั้งขอสันนิษฐานต่างๆไว้เกี่ยวกับเธอ เช่น

         
          โมนา ลิซ่า ก็คือภรรยาของ ฟรานเชสโก เดล จิโอกอนโด ซึ่งเป็นพ่อค้าไหมที่มั่งคั่งแห่ง เมืองฟลอเรนซ์ ขณะที่ ดาวินซี่ เขียนภาพนี้ซึ่งได้ใช้เวลานานถึง 4 ปี เขาได้ไปว่าจ้าง นักร้อง นักดนตรี และตัวตลกมาให้ความบันเทิงแก่หญิงงามผู้เป็นแบบของ ภาพเขียน เพื่อให้เธอมีรอยยิ้มที่ปราศจากความเศร้าหมอง อย่างไรก็ตามจากคำ บรรยายของ วาซารี ก็เป็นเพียงข้อมูลจากผู้ที่ไม่เคยเห็นภาพเขียนนี้ของ ลีโอนาร์โด แต่อย่างใด  

       หรืออีกกระเเสหนึ่งบอกว่าเเท้ที่จริงแล้วบุคคลในภาพนั้นไม่ใช่ผู้หญิงดั่งที่ทุกคนคิดแต่เป็นภาพของเด็กหนุ่มรูปงามคนหนึ่งที่เเต่งกายเป็นผู้หญิง ซึ่งประจวบเหมาะว่า มีข่าวลือว่าจิตกรคนดังของเรานั้นเป็น บุคคลที่รักร่วมเพศ ทฤษฎีนี้จึงยังไม่ถูกมองว่าไร้สาระไป หรือเเม้กระทั่งมีคนสันนิษฐานต่อว่าความจริงแล้ว ภาพวาดดังกล่าวนั้นคือตัว  ลีโอนาร์ โด ดา วินซี่ เองนั้นละที่เเอบจำเเลงเเปลงกายตนเองเป็นผู้หญิง 

ช่างเเตกต่างกันอย่างมากเลยนะครับสำหรับสองข้อสันนิษฐานที่ผู้เขียนได้เห็นมา แต่อย่างไรก็ตามผู้เขียนคิดว่าไม่ว่าบุคคลในภาพนี้จะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย จะเป็นบุคคลที่มีตัวตนหรือไม่ แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่สามารถถกเถียงได้เลยนั้นก็คือ ภาพวาดภาพนี้คือภาพวาดที่มีความสวยงามมากที่สุดในโลกภาพหนึ่ง สวยงามจนถึงขั้นมีคนเคยขโมย ภาพวาดนี้ไปเเอบไว้ถึง 2 ปี กว่ารัฐบาล ฝรั่งเศส จะหาทางช่วยเหลือเธอออกมาได้ หากจะให้ผู้เขียนบอกว่าในชีวิตนี้หากไม่ได้ไปพบเห็นรอยยิ้มของเธอที่พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ สักครั้งในชีวิต ผู้เขียนคงจะเสียดายเป็นอย่างมาก เพราะไม่ว่าใครก็คงอยากจะได้ไปเห็นใบหน้าและรอยยิ้มที่ชื่อว่า เป็นปริศาที่ไม่มีวันไขออก สักครั้งในชีวิตครับ

หากท่านผู้อ่านท่านได้ เคยหรือมีโอกาสที่ได้ไปยลโฉมสาวงามคนนี้ก่อนผู้เขียนก็ช่วยฝากบอกเธอหน่อยนะครับว่า ขอเวลาผู้เขียนเก็บหอมรอมริบ อีกสัก ห้าปีสิบปี แล้วจะไปขอยืนจ้องหน้าเธอสักครึ่งวัน อย่พึ่งให้หล่อนหนีไปไหนเสียก่อนละ 

       ในวันนี้ก็ต้องขออภัยท่านผู้อ่านด้วย ถ้าเนื้อหาหรือบทความที่นำเสนอในวันนี้ออกจะมีสาระน้อยไปสักนิดหนึ่ง แต่ผู้เขียนขอสัญานะครับว่าจะหมั่นนำข้อมูลและเรื่องราวที่น่าสนใจ มานำเสนอให้ผู้อ่านได้อ่านกันอีกเเน่นอนครับ