วันเสาร์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2555

รูปที่คนไทยทุกคนล้วนมีเหมือนกัน


 รูปที่มีทุกบ้าน

           สวัสดีครับ ผู้อ่านทุกท่านนะครับ เนื่องในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา  5  ธันวาคม  2555
ที่ผ่านมาผู้เขียนจึงขอหยิบยกหัวข้อที่จะมานำเสนอในวันนี้ที่เกี่ยวกับพระองค์ท่านละกันนะครับ จากหัวข้อที่ผู้เขียนได้ขึ้นไว้ "รูปที่มีทุกบ้าน" ท่านผู้อ่านคงจะเคยได้ยินเพลงของพี่เบิร์ดเพลงนี้นะครับ



เชื่อหรือไม่ว่ากี่ครั้งก็ตามที่ผู้เขียนได้ฟังเพลงนี้จะเกิดความซาบซึ้งและคำถามทุกครั้งว่าทำไมบุคคลคนหนึ่ง จึงเป็นที่รักและเทิดทูนของคนไทยทั้งชาติได้ขนาดนี้ แต่คำถามนี้ไม่ได้ต้องการคำตอบเเต่ประการใด เพราะผมเชื่อว่าคนไทยทุกคนล้วนมีคำตอบให้กับคำถามนี้แม้จะเป็นคำตอบที่แตกต่างกันไป
แต่ผู้เขียนเชื่อว่า คำพูดคำหนึ่งที่ทุกคนจะต้องเปล่งออกมาทุกครั้งทั้งในใจและจากปากของเราเมื่อฟังเพลงนี้จบนั้นเหมือนกันคือ "ขอพระองค์ทรงพระเจริญ" คำนี้เเม้จะไม่ใช่ทุกคนจะรู้ความหมายแต่ทุกคนก็พร้อมใจกันที่จะเอยคำนี้และยิ้มกับตัวเองเสมอ




 และนอกเหนือจากเพลงที่ผมได้ยกขึ้นมาเป็นหัวข้อนะครับ (จริงที่จะเขียนวันนี้คือเรื่องโปสเตอร์) คือ รูปหรือพระบรมฉายาลักษณ์ ที่คนไทยทุกคนคงจะเห็นกันทั่วไปถ้าผมจะถามท่านผู้อ่านว่าเมื่อเห็นรูปต่างๆ(พระบรมฉายาลักษณ์ต่างๆ)ของในหลวงเเล้วท่านผู้อ่านเกิดความรู้สึกอย่างไร หลายคนคงจะตอบคล้ายกันว่า ซาบซึ้งใจ ภูมิใจและดีใจที่เกิดมาเป็นคนไทย

แต่ถ้าผมถามต่อว่าทำไมถึงรู้สึกอย่างนั้นหลายคนอาจจะยังไม่สามารถหาคำตอบมาให้ผมได้ในทันทีแต่เชื่อว่าทุกคนมีคำตอบในใจของตนสำหรับคำถามนี้อยู่แล้วละครับ

 








ทำไมรูปภาพที่เราเห็นพระองค์ในอริยาบทต่างๆถึงทำให้เราเกิดความประทับใจได้ ทำไมการที่เราเห็นรูปภาพคนคนเดียว
ในทุกๆเเยกของถนนที่ขับผ่านไปทุกวัน แต่ไม่มีใครสักคนจะเบื่อที่จะมองภาพนั้นและยิ้มกับตัวเอง ภาพที่ถูกพิมพ์ซ้ำมากมายทั้งในนิตยสาร ปฏิธิน หรือหน้าหนังสือพิมพ์ ทำไมรูปของในหลวงรูปเดียวกันแต่คนไทยที่เห็นรูปนี้กลับตีความและเข้าใจถึงคำพูดที่พระองค์สอนกว่าพันหมื่นคำ หากจะให้ผมหาสิ่งวิเศษที่คนทั้งโลกไม่เชื่อว่ามีอยู่จริงผมเชื่อว่านี่คือสิ่งวิเศษสิ่งหนึ่งของโลกเราเท่าที่จะมีได้ครับ



















 หากจะให้ผมยกตัวอย่างของกิจกรรมหรือสิ่งที่คนไทยทำเพื่อในหลวงของเราเพื่อเทิดพระเกียรติในวันพ่อ 5 ธันวาคน 2555 มาทั้งหมดคงต้องใช้เนื้อที่มากมายมหาศาล ดังนั้นผู้เขียนจึงขอนำเพียงแค่ภาพบรรยากาศไฟตามสถานที่ราชการ 
และท้องถนนที่ได้ประดับประดาให้คนไทยมาชื่นชมในพระบารมีของในหลวง มาให้ชมกันเพียงเล็กน้อย จากภาพหลายๆภาพจะเห็นได้ว่าถึงเเม้รถที่ถนนราชดำเนินนอก-ในจะติดมากมายมหาศาลขนาดไหนแต่ประชาชนชาวไทยก็ยังเเห่เเหนหลั่งไหลเข้ามาเพื่อชมดวงไฟระยิบระยับที่ประดับอยู่ตามรายทางอย่างไม่ขาดสาย ภาพของในหลวงและสมเด็จย่า รวมถึงพระราชินี มีให้เห็นในทุกๆสี่เเยกและสถานที่สำคัญๆ ภาพเหล่านี้สามารถสือคำพูดได้นับล้านคำสำหรับคนไทยทุกคน และภาพทุกภาพสามารถสื่อถึงจิตใจของคนไทยนับล้านที่จงรักภักดีต่อในหลวงอย่างไม่เสื่อมคล้ายได้เช่นกัน





      วันนี้ผู้เขียนไม่ได้ต้องการเขียนบทความเพื่อเฉลิมพระเกียรติอย่างที่คนอื่นมากมายได้เขียนกัน และไม่ได้ต้องการเขียนเพื่อตีเเผ่สิ่งที่ตนเองรู้สึกเพียงอย่างเดียว แต่เขียนเพื่อพูดเเทนคนไทยมากมายที่มีความรู้สึกเหมือนผู้เขียนที่ต้องการพูดคำว่า"ขอพระองค์ทรงพระเจริญ" ให้ดังกึกก้องประเทศไทยของเราไปอีกราบนานเท่านั้น
 



วันอังคารที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

Johnie walker การเดินทางที่ไม่สิ้นสุด

            สวัสดีท่านผู้อ่านอีกครั้งครับ เนื่อจากวันนี้ได้ฤกษ์งามยามดีในวาระดิถีวันลอยกระทง ผู้เขียนจึงได้โคจรมาพบกับผู้อ่านอีกครั้ง ทั้งที่ยังจากกันได้ไม่นาน ยังไม่คิดถึงผู้อ่านเลยต้องมาเจออีกแล้ว(ล้อเล่นนะครับ) ในวันนี้ซึ่งเป็นวันที่มีบรรยากาศอบอวลเเบบไทยๆทั้งเพลงรำวงที่เปิดกันสนั่นหวั่นไหวตั้งแต่เมื่อคืนยาวจนถึงคืนนี้ ซึ่งอย่างที่เรารู้กันว่าคนไทยเรานั้นรักงานสังสรรค์รื่นเริงเป็นอย่างมาก วันเกิดก็เฮ! งานแต่งก็เฮ! ขึ้นบ้านใหม่ งานบวช ไปจนถึงมีคนตายพี่ไทยเราก็เฮ! ได้เอากับเขาสิ ซึ่งการ เฮ! ที่ว่านี้ก็คือการพบปะสังสรรค์ในหมู่เครือญาติเพื่อนสนิทหรือแม้กระทั่งคนที่พบกันครั้งเดียวแต่ถูกชะตาเราก็เฮ! กันได้เเล้วสิ่งที่จะขาดไม่ได้ในการ เฮ!ของเรานั้นก็คือสุราคับ เเหมะเหมือนผมจะพาไปเรื่องที่ไม่เหมาะสมจริงๆผมไม่ได้จะพูดเรื่องสุราหรือเหล้าหรอก ที่พูดมาทั้งหมดนั้นคือการเกริ่นคับ
 (แอบโดนคนอ่านด่า><) 



           อันที่จริงแล้วเรื่องที่ผมต้องการนำเสนอวันนี้คือเรื่องของ สื่อสิ่งพิมพ์ ท่านผู้อ่านอาจจะงงว่าแล้วสื่อสิ่งพิมพ์นั้นมาเกี่ยวกับเรื่องของเหล้าที่เกริ่นมาได้อย่างไร(ผมจะทำให้มันเกี่ยวซะอย่างผู้อ่านมีปัญหารึป่าวละ ชิชิ) เรื่องของเรื่องคือสื่อสิ่งพิมพ์ที่ผมยกมาในวันนี้คือ โปสเตอร์ โฆษณาเหล้าแบรนด์ดังที่สามารถพูดได้เต็มปากว่าไม่ว่าจะไปในวงสังคมหรือวงเหล้าวงไหนแล้วเห็นเจ้าเหล้ายี่ห้อนี้ทุกคนจะต้องรู้จัก ซึ่งแบรนด์ดังกล่าวก็คือ




      ถูกต้องครับ เหล้าที่ผมพูดถึงก็คือ เหล้าลุงจอห์นนี่ นั้นเองภาพชายสวมหมวกที่ชอบเดินไปเดินมาเดินเข้าเดินออกร้านเหล้าและห้างร้านต่างๆนี้คงพอคุ้นหน้าคุ้นตากันเป็นอย่างดีกับคนไทยเราหรือถ้าจะให้พูดให้ยิ่งใหญ่ก็สามารถบอกได้ว่า ลุงจอนห์นี่ เขาเดินเข้าเดินออกทุกที่ทั่วโลกมาเเล้วไม่ว่าจะเป็นในห้องประชุมธุรกิจใหญ่ๆ หรือแคร่ไม้ใต้ต้นมะขามก็ตามลุงจอนห์นี่แกก็เเวะเวียนไปทั่วจริงๆ งั้นเรามาดูกันดีกว่า ว่าการเดินทางของลุงจอห์นนี่เรานั้นมีที่มาที่ไปอย่างไรและเกิดการพัฒนาอะไรบ้าง





ในช่วงเเรกนั้น โปสเตอร์ของ จอนห์นี้วอคเกอร์ในประเทศไทยนั้นจะเน้นในด้านการโฆษณาชวนเชื่อตรงๆเลยว่า ดื่มแล้วสุขกายสมบูรณ์ โดยเอกลักษณ์เดียวที่ยังคงไว้ของจอห์นนี่ วอล์คกอร์ คือ ภาพของชายสวมหมวกถือไม่เท้าที่ยังคงเป็นสัญลักษณ์หลักของเเบรนด์ครับ ต่อไปเรามาดูในยุคต่อไปของการเดินทางกันนะครับ














          หนึ่งในคำพูดติดปากของโฆษณาเเบรนด์ Johnnie walker ที่เชื่อว่าทุกคนจำได้คือ Keep walking หรือ ถ้าเเปลเป็นไทยให้สละสลวยหน่อยคือ จงก้าวเดินต่อไป(แม้ว่าจะมีอุปสรรคอย่างไร) โปสเตอร์ชิ้นนี้จะเห็นได้ว่า ภาพลักษณ์ของลุงจอห์นนี่จะชัดเจนในการสื่อความหมาย คือรูปการเดินทางของลุงเขาและภาพของสะพานที่มีบางส่วนชำรุด ซึ่งสื่อการเดินทางของเรานั้นแน่นอนว่าจะต้องมีอุปสรรคแน่นอนแต่ไม่ว่าจะมีอุปสรรคใดๆการเดินทางของเราก็ยังต้องดำเนินต่อไป โปสเตอร์ชิ้นนี้จึงถือว่าเป็นทั้งโปสเตอร์ที่ติดตาที่สุดชิ้นหนึ่งและเป็นโปสเตอร์ที่ให้กำลังใจที่ดีอีกชิ้นหนึ่งครับ แต่ว่านี่ก็ยังเป็นการเดินทางในด้านสื่อสิ่งพิมพ์ของลุงจอห์นนี่ เพราะยังมีสื่ออีกหลายชิ้นที่จะไม่เน้นในการโฆษณาถึงเหล้าหรืออะไรที่เกี่ยวกับเหล้าเลย(ไม่รู้ว่าเพราะลิขสิทธ์หรือสัญญาคุ้มครองอะไรหรือเปล่า) แต่จะเน้นในด้านการจับสิ่งที่น่าสนใจในช่วงเวลานั้นๆมาเป็นจุดขายครับ เช่นโปสเตอร์โฆษณาชิ้นต่อๆไปนะครับ



ทุกคนเห็นหน้าคุณคนนี้แล้วอย่าพึงเข้าใจผิดนะครับว่านี่คือลุงจอห์นนี่ ลุงเราเขาเป็นชาวสก็อตเเลนด์ครับ แต่ชายผิวดำที่เราเห็นนี้คือนักกีฬาวิ่งชาวเเอฟฟริกา ที่ไปเเข่งขันเเละคว้าชัยชนะในการเเข่งขันกีฬาระดับโลก ซึ้งทางลุงจอห์นี่เราก็จับพี่คนนี้มาเป็นพรีเซนเตอร์ซะเลยเพราะยังไงการวิ่งกับการเดินไปเรื่อยๆของลุงจอห์นนี่ก็คล้ายกัน โดยในโฆษณาชิ้นนี้ก็ยังคงคอนเซ็ปเรื่อง Keep walking เหมือนเดิมเพียงแต่เพิ่มในเรื่องของการประสบความสำเร็จจากความพยายามครับ ซึ้งจากโฆษณาสองชิ้นที่เราได้เห็นจะพบว่า การทำโปสเตอร์สื่อสิ่งพิมพ์ สื่อโฆษณาต่างๆของ Johnnie walker นั้นจะไม่เน้นในการโฆษณาเหล้าในเเบรนด์เลยก็ว่าได้ แต่จะเน้นไปทางให้กำลังใจคนที่กำลังท้อเเท้หรือกำลังหาจุดมุ่งหมายของชีวิตซึ้งผลตอบรับนั้นก็ดีเกินคาดเพราะโปสเตอร์ที่มีความหมายดีๆเหล้านี้กลับติดตาผู้บริโภคเป็นอย่างมาก ซึ่งในยุคต่อไปก็ได้มีโฆษณาอีกหลายชิ้นที่ออกมา ทั้งในรูปแบบของสื่อสิ่งพิมพ์ สื่อโฆษณา แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่มีวันเปลี่ยนเเปลงในเนื้อหาของสื่อที่ต้องการเเสดงออกมาคือการเดินทางที่ไม่มีวันสิ้นสุดเเม้จะมีอุปสรรคมากมายขนาดไหนมาขัดขวาง ต่อไปจะเป็นตัวอย่างโปสเตอร์ต่างๆมาให้ชมนะครับ


 ชิ้นนี้จะเป็นการเปรียบเทียบความสามารถของคนกับหุ่ยยนต์นะครับ ประมาณว่าอย่าน้อยใจไปถึงหุ่นยนต์จะเเข็งเเรงรวดเร็วและเกือบจะเหมือนสมบูรณ์แบบแต่สิ่งหนึ่งที่หุ่นยนต์ไม่มีก็คือวิสัยทัศน์และจินตนาการที่เป็นพรสวรรค์ของมนุษย์เราครับ


ชิ้นนี้เป็นเรื่องราวของกลุ่มเพื่อนที่ยอมเสียสละสิ่งต่างๆให้กันเพื่อให้การเดินทางของเพื่อนนั้นสามารถเดินทางต่อไปได้ ในโฆษณาชิ้นนี้จะสื่อถึงเรื่องของมิตรภาพเป็นส่วนใหญ่จะเห็นได้จากภาพของเพื่อนในโปสเตอร์นะครับ








มาถึงโปสเตอร์ชิ้นสุดท้ายของวันนี้นะครับ ชิ้นนี้เป็นเหมือนโปสเตอร์ที่บอกเล่าเรื่องราวตำนานของลุงจอห์นนี่เลยก็ว่าได้ การเดินทางอันยาวนานถูกนำมาเล่าเป็นเรื่องราวๆทั้งจุดกำเนิด และวิวัฒนาการต่างๆ จริงๆแล้วโปสเตอร์ชิ้นนี้มีอีกหลายชุดนะครับ แต่ถ้าดูเป็นคลิปโฆษณาจะเข้าใจกว่า 


จากที่เราได้ดูสื่อไปหลายชิ้นเเล้วผู้อ่านทุกท่านสังเกตเห็นอะไรมั้งครับ ถ้ายังนึกไม่ออกเดี๋ยวผู้เขียนจะสรุปให้ตอนนี้เลยนะครับ 
1. โปสเตอร์ส่วนใหญ่ของ Johnnie walker จะเน้นสีเหลืองและดำเพื่อนอาจสงสัยทำไมต้องสองสีนี้ ความหมายของสองสีนี้คือ สีเหลืองหมายถึงสีของความนุ่มนวลของเหล้ามอลต์หรือก็คือผลิตภัณฑ์ของลุงจอห์นนี่ และสีดำหมายถึงความคลาสสิค ความลึกลับ และความน่าค้นหาในตัวเหล้าเเบรนด์นี้ยังไงละครับ
2. สังเกตไหมว่าโฆษณาแต่ละชิ้นจะถูกจัดทำให้เเต่ละภูมิภาคเท่านั้นไม่ใช่ว่าทุกชิ้นจะได้มาฉายหรือมาให้เห็นในเมืองไทยเพราะถ้าลุงจอห์นนี่เอานักวิ่งจากเเอฟฟริกา มาโฆษณาในไทยคนไทยอาจสงสัยว่านี่เขาไปขุดใครมาโฆษณา แต่ถ้าเปลี่ยนไปใช้เป็นนักกีฬายกน้ำหนักของไทย หรือนักบอล นักการเมืองคนไทยน่าจะจำได้มากกว่า
3.โฆษณาทุกชิ้นจะต้องมีรูปชายสวมหมวก ถือไม่เท้าก้าวเดินอยู่(แน่นอนสิก็นั้นมันสัญลักษณ์เเบรนด์เขานิ)

และนี่คือข้อสังเกตคร่าวๆของผู้เขียนนะครับ ถ้าผู้อ่านสังเกตหรือเห็นข้อเเตกต่างอย่างไรก็อย่าลืมมาพูดคุยเเลกเปลี่ยนความเห็นกันนะครับเพราะผู้อ่านหลายคนย่อมสามารถสังเกตและมีความเห็นที่เเตกต่างกัน อย่าเชื่อในสิ่งที่คนเล่าจนกว่าจะสัมผัสด้วยตัวเองนะครับ ว่าแล้วผู้เขียนก็ต้องขอลาไปสัมผัสผลิตภัณฑ์ของลุงจอห์นนี่เราบ้างดีกว่าเพื่อความละเอียดของข้อมูลกว่าเดิมว่าจะนุ่มละมุนขนาดไหน(>o<) วันนี้ก็ขอลาไปก่อนนะครับสวัสดีครับ

วันจันทร์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

นวนิยาย ที่เปลี่ยนชีวิตข้าพเจ้า

         สวัสดีครับ ท่านผู้อ่านทุกท่าน วันนี้ผู้เขียนผู้มีอารมณ์สุนทรีย์ยิ่งก็กลับมาอีกครั้ง ต้องขออภัยด้วยที่กำหนดส่งงานเขียนของผมไม่ค่อยตรงเวลา ก็อย่างที่บอกว่าผมเป็นนักเขียนที่มีอารมณ์ สุนทรีย์ อิอิ (//เเอบโดนคนอ่านหมั่นไส้) เนื่องจากวันนี้ผู้เขียนได้กลับมาค้นหนังสือ ในกรุ เอ้ย ชั้นหนังสืออันเเสนเป็นระเบียบ ของผู้เขียน เพื่อหาหนังสือดีๆมาสร้างเเรงบันดาลใจในหน้าหนาวอันเเสนเกียจคร้านนี้ เลยไปหยิบได้หนังสือมาเล่มหนึ่ง ไม่สิ ชุดหนึ่งมากกว่า หนังสือชุดนี้กล่าวได้ว่า เป็นทั้งเเรงบันดาลใจให้ผู้เขียนเริ่มแต่งนิยายของตัวเอง (แม้จะไม่เคยสำเร็จเป็นรูปเป็นร่าง) และเป็นทั้งหนังสือที่เปี่ยมไปด้วยปรัชญาและวิธีการดำเนินชีวิตมากมาย ที่ไม่ว่าผู้เขียนจะหยิบยกมาอ่านครั้งใดก็มักจะมีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อย ให้ได้ค้นหาอยู่ตลอด และสุดท้ายหนังสือชุดนี้ ยังเป็นเเรงผลักดันให้ผู้เขียนในยามที่เกิดความท้อเเท้เเละเหนื่อยจากการดำเินินชีวิต อันเเสนวุ่นวาย

อ๊าาา เผลอ เเป๊บเดียว ก็เกริ่นมาตั้งเยอะเเล้ว งั้นเรามารู้จักหนังสือเรื่องที่ว่ากันเลยดีกว่าครับ




 เชื่อว่าหากผู้อ่านทุกท่านอยู่ในวัยที่ใกล้เคียงกับผู้เขียน ส่วนใหญ่ก็น่าจะพอคุ้นหน้าคุ้นตากับหนังสือเรื่องนี้ หรือถ้าไม่คุ้นหน้า ก็น่าจะได้ยินชื่อ หัวขโมยแห่งบารามอส มาบ้าง ใช้ครับหนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือ นวนิยาย แต่ นวนิยาย เรื่องนี้ที่บางท่านไม่เคยอ่าน และคิดว่าก็คงจะเหมือน นิยายเด็กๆเรื่องอื่นๆที่มีการต่อสู้กัน การทำภารกิจ การเข้าโรงเรียนของเด็ก และอื่นๆที่เห็นได้กับนิยายเรื่องอื่นๆ ใช่ครับหัวขโมยเเห่งบารามอส ก็เหมือนนิยายเรื่องอื่นๆ 

แต่หนังสือนิยายเล่มนี้คือนิยายเรื่องเดียวที่ผู้เขียนขอใช้หัวใจดวงน้อยๆของตัวเองรับประกันว่า นวนิยายเรื่องนี้ได้มอบความหวัง และปรัชญาการดำเนินชีวิตให้กับผู้เขียนมากยิ่งกว่านิยายหรือหนังสือธรรม เรื่องใดๆที่เคยอ่านมา ความลงตัวที่ถูกกลั่นกรองและเเต่งเเต้มจากเจ้าของนามปากกา Rabbit ที่ยังติดตา ตรึงใจไม่ว่าผู้เขียนจะอายุเพิ่มขึ้นเท่าไรและหยิบหนังสือเรื่องนี้มาอ่านครั้งใด ก็ยังคงความซาบซึ้งและสร้างความประทับใจให้ผมไปทุกครั้ง หากจะถามว่าหนังสือเล่มนี้เปลี่ยนชีิวิต ผู้เขียนอย่างไร ก็อยากจะให้ดูว่า ปัจจุบันที่ผู้เขียนเป็นบุคคลเฮฮา เฟรนลี่ เข้าได้กับทุกคนเหมือนทุกวันนี้นั้น ส่วนหนึ่งเกิดจากเเรงผลักดันจากหนังสือเล่มนี้ จากเด็กชายใส่เเว่นที่นั่งหน้าห้อง สนใจแต่การเรียนไปวันๆ กลับบ้านไปนั่งเล่นเกมส์ ไปสู่เด็กเเว่นที่เป็นที่รักของเพื่อนๆ สามารถเข้าไปพูดคุยได้กับทุกคน จนทุกคนบอกว่าเป็นคนอัธยาศัยดีมากคนหนึ่ง เชื่อหรือไม่ครับว่าการเปลี่ยนเเปลงนี้เกิด จากหนังสือนิยายธรรมดาๆ สี่เล่มนี้ 

     หากผู้อ่านไม่เชื่อก็ไม่เป็นไรครับ แต่ผู้อ่านที่น่ารักขอให้ยอมสละเวลาสักเล็กน้อยลองไปหาหยิบยืมมาอ่าน หรือถ้าท่านใดคิดสะสมก็รับรองว่าจะไม่เสียใจเเน่นอนครับกับหนังสือชุด หัวขโมยเเห่งบารามอส เเล้วท่านจะตกใจที่พบว่า ทุกบรรทัด ทุกตัวอักษร จะสามารถออกมาโลดเเล่นและสร้างความประทับใจไม่รู้ลืมให้กับท่านได้อย่างไร



ก่อนจากกันนี้ ผู้เขียน ก็อยากยกคำพูดหรือประโยคที่เป็นเครื่องเตือนใจให้กับผู้เขียนทุกครั้งที่ได้อ่าน มาเเบ่งปันกันนะครับ

อันเเรก เป็นประโยคที่ไว้เตือนเราเมื่อเรารู้สึกท้อเเท้หรือผิดหวังกับตัวเอง
"         เค้าก็มีดีของเขา นายก็มีดีของนาย เเทนที่จะเสียเวลามาทุกข์เพราะอิจฉา เอาเวลามาหาข้อดีของตัวเอง แล้วนายจะรู้ว่าไม่จำเป็นต้องไปเทียบกับใคร"

อันที่สอง เรียนรู้จากความผิดพลาด
"  พลาดก็คือพลาด คนเรามันเรียนรู้จากความผิดพลาด คนไม่เคยผิดก็คือคนที่ไม่ทำอะไรเลย คนไม่ทำอะไรเลยก็ไม่มีวันก้าวหน้า "

อันสุดท้ายที่จะขอยกมานะครับ คือเรื่องความเสมอต้นเสมอปลาย
"  ไขมุกเม็ดใหญ่เม็ดเล็กเหมือนกัน แต่ความตั้งใจของคนสิตอนต้นตอนปลายไม่เหมือนกัน เริ่มทำตอนเเรกก็ดูตั้งใจ แต่จะมีสักกี่คนที่เสมอต้นเสมอปลายทำไปเรื่อยๆก็เบื่อ พอเบื่อก็ตั้งใจน้อยลงสุดท้ายก็สักเเต่ว่าทำเท่านั้น"

ถ้าเพื่อนๆอยากรู้ว่าประโยคเหล่านี้เกิดขึ้นในเหตุการณ์ใดเเหละสถานการณ์ไหนในเรื่องก็อย่าลืมไปติดตามอ่านกันนะครับ วันนี้ผู้เขียนก็ขอลาไปก่อนพบกันฉบับหน้าครับ

ขอขอบคุณ
หนังสือชุด หัวขโมยแห่งบารามอส ของคุณ Rabbit
และ http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=either&group=8 สำหรับรูป ภาพน่ารักๆของหัวขโมยของเราครับ

วันพุธที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2555

สื่อการสอน Stacking Block


สวัสดีท่านผู้อ่านที่น่ารักทุกท่านนะครับ ต้องขออภัยจากใจดวงน้อยๆของผู้เขียนที่ห่างหายการลงบทความไป >< อย่าเพิ่งโกรธแล้วทิ้งกันไปหมดซะก่อนนะครับ

 

 วันนี้เนื่องจากมีเวลาและงานที่ได้รับมอบหมาย ผมจึงนำเรื่องราวใหม่มานำเสนอ ซึ่งเรื่องที่จำนำมาเสนอในวันนี้คือ ชุดสื่อการเรียนการสอน ก่อนอื่นขอทำความเข้าใจก่อนว่าสื่อการเรียนการสอนคืออุปกรณ์หรือสิ่งของที่เรานำมาประกอบการสอนเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการเรียนการสอนดียิ่งขึ้น ซึ่งสิ่งของเหล่านี้อาจเป็นสิ่งของรอบๆตัวเราเมื่อเรานำมาประกอบกับจินตนาการและวิธีการก็จะเกิดเป็นสื่อการสอนขึ้นมาได้นะครับ 




ซึ่งวันนี้ผู้เขียนเองก็ได้มีคลิปวิดีโอที่ถ่ายเอง>< มานำเสนอสื่อการสอนที่น่าสนใจชิ้นหนึ่งติดตามชมได้เลยนะครับ


หลังจากได้รับชมวิดีโอนี้แล้วก็หวังว่าผู้อ่านทุกท่าน ได้รับความรู้ความเข้าใจมากยิ่งขึ้นนะครับ

แล้วกลับมาพบกันใหม่ในบทความหน้านะครับ ครั้งนี้ผมขอลาไปก่อนสวัสดีครับ


วันอาทิตย์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2555

Media 21st เรื่องเก่าที่ เล่าได้ไม่รู้จบ


Media 21st  เรื่องเก่าที่ เล่าได้ไม่รู้จบ

       

              ท่านผู้อ่านที่รักยิ่งของผู้เขียนที่น่ารัก เรากลับมาพบกันอีกแล้วนะครับ(ไม่รู้ผู้อ่านดีใจไหม แต่ผู้เขียนดีใจนะ อิอิ) วันนี้เรากลับมาพบกับ เรื่องที่ไม่รู้ว่าจะดูหนักไปไหม นั้นคือ เรื่องของสื่อในศตวรรษที่ 21 หรือ 21st สื่อในปัจจุบันไม่ใช่เเค่ตัวกลางสำหรับการสื่อสารระหว่างบุคคล แต่เป็นตัวกลางเพื่อบอกเล่าเรื่องราว ความคิด อารมณ์ ของผู้ส่งให้แก่ผู้รับได้เข้าใจหรือเกิดความคิดร่วมได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น 

เรามาดูความหมายที่มีคนให้ไว้เกี่ยวกับสื่อดีกว่านะครับ

Mediaหรือสื่อ คือ เครื่องมือที่เป็นตัวกลางในการถ่ายทอดข้อมูลจากผู้ส่งไปยังผู้รับ เพื่อให้ผู้ส่งและผู้รับสามารถสื่อสารกันได้ตรงตามวัตถุประสงค์

  


ซึ่งสื่อนั้นมีมากมายหลากหลายประเภท ทั้งสื่อสิ่งพิมพ์ สื่อโทรทัศน์ สื่อเพื่อความบันเทิง สื่อเพื่อความรู้ แต่ที่เราจะหยิบยกขึ้นมาพูดถึงในวันนี้นะครับ คือ สื่อการสอน ชื่อที่ทุกคนคุ้นหูและเหมือนจะรู้จักแต่ที่จริงแล้วเจ้าสื่อการสอนที่ว่านี้จะเป็นอย่างที่ทุกคนรู้จักหรือไม่ ยิ่งในศตวรรษนี้ที่สื่อได้ทำการก้าวกระโดดครั้งสำคัญ การเปลี่ยนแปลงวิสัยทัศน์เดิมๆของสื่อสู่ ยุค 21st  อย่างแท้จริง ซึ่งในส่วนของสื่อการสอนนั้นที่เคยมีกรอบความคิดที่ว่า สื่อการสอน คือ เครื่องมือที่ผู้สอนใช้ประกอบการสอนเพื่อให้ผู้เรียนสามารถเข้าใจเนื้อหาได้มากขึ้น 

ไปสู่ความคิดที่ว่า สื่อการสอนคือตัวกลางเพื่อสร้างความเข้าใจร่วมกันระหว่างผู้เรียนและผู้สอน



  คำสองคำนี้บางคนอ่านแล้วก็จะเห็นว่ามันก็แค่การเล่นคำของผู้เขียนหรือนักการศึกษา แต่ใจความของข้อความที่ยกมานี้ ในข้อความแรก คือสื่อนั้นเป็นเครื่องมือของผู้สอนที่จะใช้เพื่อประกอบการสอน ซึ่งผู้เรียนนั้นเป็นแต่เพียงผู้รับสารและไม่มีการส่งกลับสารนั้นสู่ผู้สอน เปรียบเสมือนกับการดูรายการโทรทัศน์แล้วเรามีข้อติชมมากมายแต่ผู้จัดรายการไม่ได้ให้ช่องทางในการเสนอคำติชมกลับไปเราก็ทำได้เพียงคิดและเก็บคำติชมนั้นกลับไป

ในความคิดที่สองนั้นหรือในยุคปัจจุบัน สื่อคือตัวกลางที่เชื่อมความคิดของผู้เรียนและผู้สอนเข้าได้กัน ซึ่งการจะเชื่อมความคิดของคนสองกลุ่มที่ติดต่อกันทุกวันเข้าด้วยกันนั้น จะว่าเป็นเรื่องยากก็ยากจะว่าเป็นเรื่องง่ายก็ง่าย แนวคิดนั้นเป็นเรื่องที่สามารถทำได้แต่การปฏิบัติจริงนั้นยังต้องรอการพิสูจน์ เพราะตัวกลางความคิดระหว่างผู้เรียนและผู้สอนนั้น มีองค์ประกอบมากมายที่ต้องคำนึงถึงซึ่งนักเทคโนโลยีสื่อสารการศึกษาได้สร้างสื่อมากมายเพื่อตอบโจทย์นี้ แต่ทว่าสื่อมากมายนั้นยังไม่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานทั้งในส่วนของผู้สอนและผู้เรียน อาทิเช่น การใช้ E-mail ในการติดต่อสื่อกันระหว่างผู้สอนและผู้เรียน ข้อดีของการใช้สื่อกลางนี้คือ รวดเร็ว ไม่มีข้อจำกัดด้านสถานที่และเวลา ข้อเสียคือ ความเหมาะสมของเอกสารหรือชิ้นงานบางอย่างก็มีทัศนคติที่ไม่รู้ว่ามาจากผู้สอนหรือผู้เรียนเองว่าเอกสารบางชนิดนั้นต้อง(ใช้คำว่าต้องนะครับซึ่งร้ายแรงกว่าไม่ควรอีกหนึ่งขั้น)ทำการส่งด้วยมือของตนหรือFace to face กับผู้สอนอาทิ ใบลากิจ ใบลาป่วย ซึ่งถ้าเราลองคิดหรือจินตนาการดูนะครับว่าถ้าการส่งไปลาต่างๆนี้ทำกันผ่าน E-mailแล้วมันจะวุ่นวายขนาดไหน  




            แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น E-mailหรือสื่อใดๆ ก็ถือว่ายังไม่สามารถตอบโจทย์ทั้งหมดของสื่อการสอนในยุค 21st ได้เพราะสิ่งสำคัญคือการเข้าถึงสื่อ หนึ่งในความคิดที่ผู้เขียนคิดว่าไม่เหมาะสมและสมควรปรับแก้ในทุกๆสถาบันการศึกษาคือ การเข้าใจว่าผู้เรียนหรือบุคลากรทางการศึกษาทุกคนนั้นมีเครื่องมือและความรู้ในการใช้สื่อเพื่อตอบสนองการเรียนที่เท่าเทียมกัน ผู้เรียน บางคน อาจมี คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ(PC) โน๊ตบุ๊ค ไอโฟน ไอแพด แต่บางคนอาจมีเพียงหนังสือ และกระดาษรายงานที่พร้อมจะจรดปากกาเพื่อถ่ายทอดข้อความ ซึ่งงานที่ออกมานั้นไม่ต่างจากงานที่ทำผ่านโปรแกรมคอมพิวเตอร์เลยแม้แต่น้อย แต่การที่ผู้สอนทุกคนต่างมุ่งหวังจากผู้เรียนว่าผู้เรียนจะต้องสามารถที่จะตอบสนองต่อสื่อที่ผู้สอนคิดว่าเหมาะสมหรือเท่าทันกับยุคโลกาภิวัฒน์ นั้นจึงเป็นความคิดที่ผู้เขียนคิดว่าผู้สอนกำลังใช้สื่อการสอนในทางที่ผิดหรือขัดต่อจุดมุ่งหมายดั้งเดิมของสื่อการสอน จำเป็นด้วยหรือที่สิ่งใหม่จำเป็นต้องดีกว่าสิ่งเก่าเสมอไป จำเป็นด้วยหรือที่สิ่งของที่ถูกพัฒนาจะต้องดีกว่าสิ่งของเดิมที่ถูกมองว่าล้าหลัง ผู้เขียนเคยอ่านหนังสือเล่มหนึ่งที่ได้ให้วิธีการแก้ปัญหาทุกปัญหาด้วยหลักการเดียวกันคือ จงแก้ปัญหาด้วยวิธีการที่ง่ายที่สุดเสมอ ในความคิดผู้เขียนคิดว่าบางทีสื่อการสอนที่นักเทคโนโลยีทางการศึกษาและผู้สอนต้องการจริงๆอาจเป็นเพียงกระดาษที่พร้อมจะเขียนและถ่ายทอดความรู้กับผู้เรียนเพียงเท่านี้ก็เป็นได้

เหมือนผู้เขียนจะพาออกนอกเรื่องไปเยอะ เอาเป็นว่าข้างบนออกจะเป็นแนวคิดของผู้เขียนสักเล็กน้อย(>o<) อย่างไรก็ตามวันนี้ผู้เขียนก็ขอนำสื่อชนิดหนึ่งมานำเสนอและวิเคราะห์ถึง วิธีใช้ ข้อดี ข้อเสีย เพื่อให้ผู้อ่าน อ่านกันก่อนที่จะหาว่า บทความนี้ออกแนวไร้สาระจนเกินไป สื่อที่ผู้ เขียนนำมาเสนอในวันนี้เชื่อว่าทุกคน คงจะรู้จักกันเป็นอย่างดี และติดตามการเจริญเติบโตของเขาผ่านหนังและภาพยนต์มาไม่น้อย สื่อที่จะนำมาเสนอนั้นก็คือ สื่อ Animation




Animation คือ การสร้างภาพเคลื่อนไหว โดยการนำภาพนิ่งหลายๆภาพที่มีความต่อเนื่อง  มาฉายด้วยความเร็วที่เหมาะสม ทำให้เกิดภาพลวงตาของการเคลื่อนไหว

การ Animate หรือถ้าแปลกันอย่างตรงตัว ก็คือการสร้างความเคลื่อนไหว ให้ชีวิต กับสิ่งต่างๆ ที่ยังไม่มีการเคลื่อนไหว หรือที่เรามักเรียกกันว่า ภาพStillหรือภาพนิ่ง  เหล่า Animatorหรือผู้สร้างสรรค์งานอนิเมชั่น ก็เปรียบกับผู้ให้ชีวิตกับชิ้นงานหรือภาพนิ่งนั้นเอง





แล้วเรารู้ไหมครับว่าทำไมภาพที่ตอนแรกยังอยู่นิ่งๆ แต่เหล่าAnimator เขามีวิธีอย่างไรให้ภาพเหล่านั้นออกมาขยับแข้งขยับขาให้เราชมได้   

เพราะที่เราเห็นภาพเคลื่อนไหวนั้น เป็นเพราะว่า มนุษย์เรามีการจำการรู้สึกสัมผัส (Sensory Memory) การจำชนิดนี้เป็นการเก็บข้อมูลอย่างตรงไปตรงมาตามที่ประสาทสัมผัสรับรู้จาก สิ่งเร้าและจะเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว เช่น การดูภาพยนตร์ซึ่งภาพแต่ละภาพจะยังคงติดตาอยู่เพียง 1 ต่อ 10 วินาทีเท่านั้น  ปรากฏการณ์นี้เรียกว่า Persistence of Vision หรือเรียกว่า การจำภาพติดตา (Iconic Memory)

   



   แล้วเรานำAnimation มาเกี่ยวข้องกับสื่อการสอนอย่างไร

อย่างที่เราได้ทราบว่า Animation คือการสร้างภาพเคลื่อนไหวเพื่อก่อให้เกิดจินตนาการ ของผู้รับสาร หรือในที่นี้ก็คือผู้เรียน โดยเราต้องกล่าวถึง ประสบการณ์การเรียนรู้ที่จะได้รับจากสื่อนั้น แบ่งออกเป็นสื่อโดยตรงและสื่อโดยอ้อม สื่อโดยตรงคือการสัมผัส กับสิ่งของ หรือสิ่งที่ต้องการสื่อถึงผู้เรียน แต่บางครั้งสิ่งของหรือเหตุการณ์บางอย่างไม่สามารถนำมาเพื่อให้ผู้เรียนได้สัมผัส และรับรู้ได้จึงก่อให้เกิดสื่อโดยอ้อมขึ้นมา ซึ่ง Animation ก็คือสื่อโดยอ้อมรูปแบบหนึ่งที่มีสามารถสร้างแรงจูงใจให้ผู้เรียนเกิดความสนใจและเข้าใจในสิ่งที่ผู้สอนต้องการบอกเล่าผ่านสื่อได้ อาทิ เช่น หากเราต้องการสอนในเรื่องของการเพาะปลูกพืช แต่โรงเรียนของเราไม่มีสถานที่เอื้ออำนวยในการลงแปลงเกษตรของจริง ครั้นจะใช้ภาพจากสไลด์สอน ผู้เรียนก็จะเกิดความเบื่อหน่าย ผู้สอนก็อาจนำเกมส์หรือสื่อAnimationในเรื่องของการเพาะปลูกมาช่วยสอนได้



 โดยสื่อAnimation นั้นจะมีข้อดีคือ

·        สามารถสร้างแรงจูงใจให้กับผู้เรียนให้หันมาสนใจการสิ่งที่ผู้สอนต้องการสื่อได้

·        สร้างประสบการณ์การเรียนรู้ที่ใกล้เคียงกับการเรียนรู้ทางตรง มากกว่าสื่อการเรียนรู้ทางอ้อมชนิดอื่นๆ

·        สามารถพลิกแพลงการใช้งานกับผู้เรียนได้หลากหลายประเภท

·        ไม่สร้างความรู้สึกซ้ำซากจำเจให้กับผู้เรียน




  ข้อเสียของสื่อ Animation คือ

·        ผู้สอนต้องมีความรู้ในการใช้สื่อหรือสร้างสื่อที่ลึกกว่าการใช้สื่อชนิดอื่นๆ

·        สื่อ Animation จะต้องใช้อุปกรณ์และเครื่องมือที่ยุ่งยาก

·        ผู้สอนไม่สามารถหรือไม่ควรปล่อยให้ผู้เรียน เรียนรู้จากสื่อโดยไม่ให้คำปรึกษา เพราะการที่ปล่อยปละโดยเห็นว่าสื่อนั้นสามารถสอนผู้เรียนแทนตนได้เป็นความคิดที่ผิด แม้ว่าสื่อจะสามารถขยับและถ่ายทอดประสบการณ์ออกมาได้ แต่สื่อก็ยังเป็นเพียงวัตถุถ่ายทอด ที่ไม่สามารถตอบคำถามหรือเข้าใจความนึดคิดของคนได้ ฉะนั้นความคิดที่ว่าสื่อจะมาแทนผู้สอนหรือสามารถสอนแทนผู้สอนได้นั้นเป็นความคิดที่ผิด ไม่ว่าจะเป็นสื่อที่มีความสามารถเพียงใด สื่อก็ยังคงเป็นเพียงเครื่องมือที่ช่วยให้การสอนดียิ่งขึ้นไม่ใช่ เครื่องมือที่ทำให้การสอนง่ายขึ้น

·        สื่อต้องมีการดูแลรักษาและความรู้ในการใช้งานที่เหมาะสม



เมื่อมีข้อเสียแล้วก็ขอแถมวิธีการแก้ปัญหาที่เป็นวิธีการสำคัญที่เรียกว่าหัวใจของการใช้สื่อการสอน นั้นก็คือการเอาใจใส่และความเข้าใจในตัวสื่อและผู้เรียน บางครั้ง เราสามารถใช้สื่อมากกว่าหนึ่งประเภทเพื่อตอบสนองหรือตอบโจทย์ที่เราได้รับมาขึ้นอยู่กับว่า เราเข้าใจถึงประโยชน์ของสื่อและศักยภาพของผู้ใช้สื่อมากน้อยเพียงใด หากผู้อ่านคำนึงถึงสองสิ่งนี้แล้วนำไปประยุกต์ใช้ได้ ผู้เขียนก็คิดว่าท่านคือผู้มีศักยภาพในการถ่ายทอดความรู้ให้กับคนรุ่นต่อไปได้อย่างแน่นอน






          เป็นอย่างไรมั้งครับหลังจากอ่านเรื่องราวของสื่อการสอนที่ผู้เขียนนำมาเสนอในวันนี้ ดูเหมือนจะเป็นเนื้อหาที่หนักจนเกินไปรึป่าวก็ไม่รู้ แถมยังมีความคิดของผู้เขียนแทรกมาเป็นระยะๆด้วย ก็หวังว่าบทความนี้จะสร้างความคิดหรือแนวทางให้ท่านผู้อ่านที่หลงผิดเข้ามาได้ไม่มากก็น้อยนะครับ วันนี้ก็ต้องขอลาไปก่อนนะครับ คราวหน้าผู้เขียนก็จะนำเรื่องราวไร้สาระมาฝากอีกเช่นเคย อย่าลืมกินข้าวอิ่มๆ แล้วก็รักพ่อแม่มากๆนะครับบบ


 ขอขอบคุณเนื้อหาและภาพจาก

 http://www.gotoknow.org/blogs/posts/303101?

http://www.kookkaicartoon.com/Welcome%20to%20Home%20KookKai-Car-Toon.html 

http://www.kroobannok.com/blog/41806


กิดานัน มลิทอง . (2548) เทคโนโลยีเเละสื่อสารการศึกษา. กรุงเทพ :  อรุณการพิมพ์,  หน้า 99-132



วันอังคารที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

In my Memo...ศูนย์บริการสื่อและเทคโนโลยี

      สวัสดีครับท่านผู้อ่านที่น่ารักของนักเขียนน่าเลิฟ อิอิ หลังจากที่ห่างหายและร้างลาการเขียนไปนานมาก จนทั้งตะไคร่และหยากไหย้ ขึ้นบล๊อกหมดแล้ว หลังจากที่เราห่างหายไปก็ไม่ได้ไปไร้สาระเสียทั้งหมด(แอบไขว้นิ้ว) จิงๆแล้วก็เเอบไปหาความรู้มาให้ ท่านผู้อ่านด้ติดตามกันด้วย เพื่อไม่เป็นการเสียต่อเวลาทั้งผู้อ่านและผู้เขียน ก็สามารถติดตามชมได้เลยครับ


   เรื่องที่เอามานำเสนอในวันนี้คือเรื่องของศูนย์บริการสื่อและเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษา ชื่อออกจะยาวไปสักหน่อยแต่เจ้าศูนย์ที่ว่านี้มีประโยช์มากพอๆกับชื่อเชียวละนะครับ ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับศูนย์ที่ว่านี้กันก่อนดีกว่านะครับ

ศูนย์บริการสื่อและเทคโนโลยีสารสนเทศ
      คือ หน่วยงานหรือองค์กรณ์ที่ให้บริการด้านสื่อและเทคโนโลยี โดยรับผิดชอบในการผลิต และจัดหาสื่อที่เหมาะสมเพื่อให้บุคคลต่างๆสามารถใช้บริการได้ โดยในศูนย์ต่างๆเหล่านี้มีการเปิดให้บริการกับบุคคลทั่วไป คณาจารย์ และนักเรียน นักศึกษา ให้สามารถเข้ามาศึกษาและใช้บริการ เพื่อจุดมุ่งหมายเพื่อให้ผู้มาใช้บริการได้รับประโยชน์ จากข้อมูลแลอุปกรณ์ต่างๆที่ศูนย์บริการสื่อและเทคโนโลยีจัดไว้บริการ

                จากที่ได้กล่าวมาศูนย์สื่อฯนั้นจะมีหน้าที่ครอบคลุมในการให้บริการแก่บุคคลทุกสาขาอาชีพ เเล้วแต่ว่าบุคคลนั้นๆต้องการและได้ทำการศึกษาทำความเข้าใจกับหน้าที่ของศูนย์นั้นดีพอที่จะสามารถใช้บริการหรือยัง ท่านผู้อ่านถ้ามีความสนใจก็สามารถเข้าไปใช้บริการได้โดยศูนย์สื่อฯนั้นได้ให้บริการกระจายอยู่ทั่วทุกภูมิภาคของประเทศทั้งตามมหาวิทยาลัยแห่งต่างๆ ตามโรงเรียน และสถานที่ราชการครับ 

  

     ไม่รู้ว่าผู้อ่านจะได้สังเกตหรือไม่ว่าศูฯย์สื่อต่างๆเหล่านี้เขามีกลุ่มเป้าหมายที่คลอบคลุมกับบุคคลทุกคนแต่ที่ศูนย์สื่อเขาเน้นเป็นพิเศษคือกลุ่มสถาบันอุดมศึกษาทั้งนี้เพราะว่า สถาบันอุดมศึกษาคือผู้ฝึกอบรมเยาวชนรุ่นใหม่ที่จะมาเป็นพลังในอนาคต แต่อันที่จริงเเล้วผู้เขียนคิดว่าน่าจะเป็นเพราะเด็กๆเขาสามารถเข้าถึงเครื่องไม้เครื่องมือและทำความเข้าใจกับมันได้ไวกว่านักเขียนนักอ่านอย่างเราๆที่วันๆอยู่แต่กับตัวหนังสือแค่จะมานั่งเปิดบล๊อกเขียนนั้นนี่โน้นก็ไม่ทันใจสู้เขียนด้วยลายมือไก่เขี่ยของเราก็ไม่ได้ นอกเรื่องมาเยอะแล้วเรามาดูกันดีกว่าทำไมศูนย์บริการสื่อและเทคโนโลยีสารสนเทศมีความสำคัญแต่การศึกษาในระดับอุดมศึกษา ทางผู้เขียนได้เรียบเรียงและเเบ่งเป็นหัวข้อเพื่อให้ง่ายแก่การเข้าใจมาดังนี้นะครับ

  • ·         เป็นแหล่งความรู้สำหรับเตรียมการสอนสำหรับผู้สอน
  • ·         เป็นสถานที่ให้บริการด้านสารสารสนเทศที่ทันสมัย
  • ·         เป็นสถานที่ฝึกฝนและให้ความรู้ด้านเทคโนโลยี
  • ·         เป็นแหล่งสงเสริมอบรมความรู้ด้านการศึกษาแก่ผู้เรียน
  • ·         เป็นสถานที่เรียนรู้ด้วยตนเองแกผู้ใช้บริการ
  • ·         เป็นสถานที่สำหรับสืบค้นและให้คำปรึกษาด้านเทคโนโลยีแก่ผู้สอน
  • ·         เป็นสถานที่ศึกษานอกห้องเรียนสำหรับผู้สนใจ

 


 จะว่าไปแล้วผู้เขียนก็มีตัวอย่างศูนย์น่าสนใจมานำเสนอให้ท่านผู้อ่านได้ติดตามเผื่อ ว่ามีใครผ่านไปจะได้เเวะเข้าไปใช้งานและเที่ยวชมได้นะครับ ศูนย์ที่จะเอามานำเสนอคือ

สำนักวิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร

 โดยทางศูนย์เขาได้มีแนวทางที่น่าสนใจดังต่อไปนี้เรามาติดตามพร้อมกันนะครับ
ปณิธาน  
เป็นแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ และใช้เทคโนโลยีสารสนเทศที่ได้มาตรฐานเพื่อให้บริการและสนับสนุนการจัดการ ศึกษา การวิจัยและสร้างเครือข่ายการบริการวิชาการสู่ชุมชน   

พันธกิจ  
พัฒนาทรัพยากรสารสนเทศรูปแบบต่างๆ ที่สอดคล้องกับการจัดการศึกษาของมหาวิทยาลัย  จัดบริการสารสนเทศที่
ได้มาตรฐานในระดับสากล
พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อการให้บริการและสนับสนุนการจัดการศึกษาของมหาวิทยาลัย
พัฒนาทักษะทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศให้กับนักศึกษาและบุคลากรของมหาวิทยาลัย
พัฒนาสื่อการเรียนการสอนและฐานข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ให้บริการวิชาการทางด้านบรรณารักษศาสตร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศแก่ท้องถิ่น

วัตถุประสงค  
1.มีแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ที่ได้มาตรฐาน
2. พัฒนาศักยภาพด้านเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อพัฒนาคุณภาพบัณฑิตให้โอกาสในการ ศึกษาค้นคว้า การวิจัย และบริการวิชาการแก่บัณฑิต บุคลากรของมหาวิทยาลัย และประชาชนในท้องถิ่น
3. ให้โอกาสในการศึกษาค้นคว้า และบริการวิชาการแก่บัณฑิต และประชาชนในท้องถิ่น 



 
ตัวอย่าง ส่วนสืบค้นที่ศูนย์ให้บริการ




      จะเห็นได้ว่าศูนย์ตัวอย่างที่เรานำมานั้นมีความน่าสนใจเป็นอย่ามากเลยนะครับเพราะว่าการสืบค้นที่ง่ายและเปิดกว้างให้กับทุกคนทำให้ผู้เขียนสามารถเข้าไปเยี่ยมชมเเละนำเเนวทางออกมาให้ทุกท่านได้ติดตามถ้ามีเวลาว่างก็สามารถเข้าไปเยี่ยมชมเวปไซต์ของเขาได้ตามลิ้งด้านล่างนะครับ สำหรับวันนี้ผู้เขียนตัวน้อยๆคนนี้ก็ต้องขอลาไปก่อนเพราะเริ่มรู้สึกว่าข้อนิ้วจะเริ่มเกิดอาการประท้วงอีกแล้วยังไงก็อย่าลืมเข้ามาติตตามกันอีกนะครับแต่ผู้เขียนก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าครั้งหน้าจะนำความรู้อะไรมาฝากแต่ก็จะพยายามไม่ปลอ่ยให้บล๊อกล้างจนน้องเเมงมุมมาทำรังได้อีก วันนี้ก็ไปก่อนอย่าลืมดูแลตัวเองนะครับ จุ๊ฟๆ

ขอขอบคุณ
สำนักวิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร